Friday, May 30, 2008

Pachelbel Canon in D Major


ถ้าจะมีบทเพลง เพลงหนึ่งที่ถือว่าเป็น หนึ่งในจำนวน Most Favorite ของฉันแล้ว ก็ต้องมีชื่อเพลงๆนี้ เข้ามาอยู่ด้วยแน่นอน --> Pachelbel Canon in D Major

เพิ่งรู้จักชื่อนี้เต็มๆ ก็ไม่กี่วันมานี้ ทั้งที่ฟังมาหลายสิบรอบแล้วมั้ง แรกเริ่มที่รู้จักเพลงนี้ก็มาจาก หนังเกาหลีเรื่อง the classic แล้วไปหามาฟังแบบเต็มๆ ใน OST vesion ของ The Classic นั่นแหละ

ไม่น่าเชื่อเลยว่า เพลงๆนี้ จะสามารถฟังได้ไม่ว่าจะอยู่ในอารมณ์ใดๆ ทั้ง สุข เศร้า เหงา ซึม ยินดี ...

เคยนั่งฟัง แล้วจินตนาการว่า อยากจะทำ wedding flash โดยมีเพลงนี้เป็นเพลงประกอบ คงโรแมนติกสุดๆ

เมื่อไม่กี่วันมานี้เอง ไปหา mp4 เพลงนี้ใน YouTube ปรากฏว่าเจอหลาย version มากๆ แล้วก็เพิ่งรู้จักชื่อเต็มๆของเพลงนี้

ลองค้นคว้าหาที่มาที่ไปของเพลงนี้ ไม่น่าเชื่อเลยว่า เพลงนี้แต่งมาตั้ง 300 กว่าปีที่แล้ว (แต่งเมื่อปี 1680) ผู้แต่งเป็นชาวเยอรมันชื่อ Johann Pachelbel

เพลงดั้งเดิมของเพลงนี้ จะใช้ไวโอลิน 3 ตัว และ Basso Continuo 1 ตัว แต่ version ที่ฉันชอบฟังก็คงเป็น OST version นั่นแหละ บรรเลงกันเป็นวงออเครสต้าวงใหญ่กันเลยทีเดียว

ใครไม่เคยฟังละก็ ลองฟังดูนะ


http://www.youtube.com/watch?v=6wpPk8qk3uQ

Monday, May 19, 2008

all about me


ห่างหายกันไปนาน มีนอกลู่นอกทาง ไปมี hi5 ของตัวเอง เพราะใครๆเขาก็มีกัน เด๋วจะเชยไปซะก่อน แต่สุดท้าย ก็ต้องกลับมาเขียนที่นี่ดีกว่า ที่นั่นไว้ใส่รูปอย่างเดียวละกัน
วันนี้มาเรื่องใกล้ตัวดีกว่า ใกล้ตัวมากๆเลย ก็ตัวฉันเองไงล่ะ

หากจะนิยามตัวตนในความเป็น "ฉัน" ก็พอจะประมาณได้ว่า

- ฉันไม่เหมือนทั้งพ่อและแม่ อันที่จริง พี่น้องฉันทั้งหมด 6 คน ก็ไม่มีใครสักคนที่เหมือนพ่อหรือแม่เลย เคยมีเพื่อนบ้าน แซวว่า พ่อกับแม่เก็บพวกเรามาเลี้ยง

- คนที่เกิดมาไม่เคย admitted เข้าโรงพยาบาลสักครั้ง (ในฐานะคนป่วย) แม้แต่ตอนคลอด ก็คลอดที่สถานีอนามัย (อันนี้จะนับด้วยหรือเปล่า)

- ชอบกินของร้อน อย่างเช่น กาแฟร้อน, เต้าทึงร้อน แม้ว่าอากาศจะร้อนแค่ไหนก็ตาม

- ชอบทรมานตัวเอง ไม่ใช่เอามีดมากรีดข้อมือตัวเอง อะไรอย่างนั้นนะ ประมาณว่า ไม่ค่อยเกี่ยง และเห็นว่าเป็นเรื่องปรกติมากๆเวลาที่ต้องอยู่ในสถานการณ์ที่ uncomfortable เช่น อากาศร้อน ก็ขอแค่พัดลมตัวเดียว เดินตอนกลางวันประมาณ กิโลก็เดินได้ แทนที่จะนั่งแท็กซี่, โลดโผนโจนทะยาน สนุกๆ ก็ยังดีกว่า นั่งตากแอร์อยู่เฉยๆ

- ใช้เวลาในการกินข้าวแต่ละมื้อ สูงกว่าค่าเฉลี่ย ไม่รู้เป็นไง ขนาดไม่ค่อยคุยระหว่างกินแล้วนะเนี่ย แต่ก็เป็นที่โหล่อยู่ดี

- ชอบกินน้ำเปล่า มากกว่า น้ำดำ อันนี้คนอื่นๆอาจบอกว่าเป็นเรื่องปรกติ แต่ในเมื่อแต่ละวัน ต้องกินข้าวในกลุ่มที่แต่ละคนชื่นชอบน้ำดำเป็นพิเศษ ก็มีแต่ฉันคนเดียวละมั้งที่ขอน้ำเปล่า ถ้าวันไหนคลื้มอกคลื้มใจ ขอแค่ลิปตั้นไอซ์ทีก็พอ

- ตู้เย็นบ้านฉัน อย่าหวังว่าจะมีน้ำแข็ง น้ำเย็นจะทำให้สมองเย็นจี๊ด ใครมาที่บ้าน หากอยากกินน้ำแข็งต้องพกมาเองนะจ๊ะ

- แพ้ความหวาน แม้ไม่ได้เป็นเบาหวาน เป็นไรไม่รู้ พอมีรสหวานอยู่ในปาก มันเลี่ยนมากๆ แม้จะอร่อยปานใด กินได้แค่คำ 2 คำ

- แพ้กลางคืน นอกจากความหวานแล้วละก็ เมื่อยามราตรีมาถึง จะไม่ขอทำการงานไรทั้งสิ้น ตัวขี้เกียจจะทำงานทันที ได้แต่นั่งนอน ดูทีวี อ่านหนังสือเล่น หรือไม่ก็ฟังเพลง

- ฟังเพลง 2 ขั้ว อันนี้หมายถึง กาลครั้งหนึ่ง ฟังแต่เพลงไทยอย่างเดียว สากลไม่เกี่ยว ไม่เคยฟังและไม่คิดจะฟัง จนอยู่มาวันหนึ่ง สงสัยต่อมฟังเพลงมันเปลี่ยนขั้ว จากซ้ายสุดมาขวาสุด ฟังแต่เพลงสากลล้วนๆ เพลงไทยอย่าได้แอ้ม สงสัย ชะรอย หูมันจะจบจากเมืองนอกกะทันหันซะ

- มีบ้านก่อนมีรถ แหะ แหะ อันนี้ ยิ่งฟังยิ่งดูเหมือนธรรมดา แต่เชื่อหรือไม่ว่า คนไทยจำนวนมาก ถือว่าจะต้องมีรถก่อน เรื่องบ้านไว้ทีหลัง อันนี้ ฉันเองก็เข้าใจนะ ไอ้การที่จะซื้อบ้านในเมือง ราคาก็ประมาณว่า ต้องช่วยกันผ่อนทั้งสามี ภรรยา แล้วยังต้องฝากลูกหลานช่วยผ่อนถึงจะหมด ส่วนการที่ซื้อบ้านที่ชานเมือง โดยไม่มีรถคู่ใจ ก็ประหนึ่งว่า ใช้เวลาในการเดินทางไปกลับ พอๆกับเวลาในการทำงานซะอีก แต่สำหรับฉัน บ้านหลังน้อยคือสวรรค์ มีแล้วสุขใจ

- ปลอดหนี้ อันนี้ยิ่งดูยิ่งไม่เหมือนคนไทย (ซะงั้น) คนไทยอย่างน้อยต้องมีหนี้ มากบ้างน้อยบ้าง ก็ต้องมี ถือเป็นเครดิตอย่างหนึ่ง ฉันมันคนไร้เครดิตระดับรากหญ้านะซิ

- ไม่เล่นหวย (เอ.. หรือว่าฉันจะเป็นมนุษย์ต่างดาวซะงั้น) จริงๆแล้วไม่ได้ anti การเล่นหวยของคนไทยหรอกนะ ถือว่าอย่างน้อย เงินประมาณ 100 บาทก็ช่วยสร้างความหวัง ความฝันเล็กๆน้อยๆ ให้จรรโลงใจก่อนถึงวันหวยได้พอประมาณ ก็ดีกว่าสร้างหนี้ที่มากกว่า 100 บาท แถมรัฐก็ยังเอาเงินรายได้ไปช่วยสังคมอีก

แต่ไม่รู้ซิ ตัวฉันเองแม้ไม่เก่งสถิติ ก็พอคำนวณได้ว่า โอกาสถูกมันริบหรี่ แค่ 1%โอกาสเจ็งมันเยอะอยู่นา แล้วอีกอย่าง ความเข้าใจผิดของคนเล่นที่มักจะคิดว่า งวดที่แล้วมันออกเลขนี้ไปแล้ว งวดนี้ไม่น่าออกอีก อันนี้เนี่ย ถ้าไม่มีหวยล๊อค จากวิชาสถิติ เนื่องจากเป็นการหยิบแบบที่ใส่คืน ดังนั้น โอกาสที่จะออกเลขเดิมจึงเท่ากับเลขทุกตัวที่เหลือ นั่นคือ โอกาสที่จะถูกเลขท้าย 2 ตัวของทุกงวด ก็ 1% เท่านั้นเอง

- เรื่องเที่ยวไม่เกี่ยง ถ้าได้ลุยตั้งแต่เช้าจรดค่ำ แต่จะผิดหวังมาก ถ้าการไปเที่ยวครั้งไหนเป็นเสมือนแค่เพียงไปเปลี่ยน wall paper ห้องนอนเท่านั้น

นี่แหละตัวฉัน อาจจะมีไรที่มากกว่านี้ แต่ที่นึกออก ณ วันนี้ ก็มีประมาณนี้ ส่วนวันข้างหน้า อาจมีเพิ่มหรือว่า บางอย่างที่ฉันเป็นอยู่ ณ ตอนนี้ อาจจะเปลี่ยนไปก็ได้

นิยามความเป็น "ฉัน" คุณพอจะรับคนคนนี้เป็นเพื่อนได้หรือเปล่า

Sunday, May 18, 2008

เป้าหมาย...สุดขีด ในแบบฉบับของ สมคิด ลวางกูร


ช่วงนี้ได้ยิน ได้ฟัง หรืออ่านหนังสือที่เกี่ยวกับ การตั้งเป้าหมาย การไปให้ถึงฝันที่ตั้งไว้ ไรทำนองนี้หลายๆอย่างเหมือนกัน ก็ดีนะ ฟังแล้วก็รู้สึกเหมือนมีแรงกระตุ้น ให้ทำแบบนั้นบ้าง

วันก่อนฟังรายการเจาะใจ เรื่องของคุณสมคิด ลวางกูร เจ้าของผลงาน ฮา...สุดขีด เหมือนเคยเห็นผ่านๆในร้านหนังสือเหมือนกัน แต่ยังไม่เคยอ่าน

คนคนนี้ มีชีวิตที่สุดขีดจริงๆ ทั้งตกต่ำสุดขีด สูงสุดขีด สลับไปมา เคยเกือบฆ่าตัวตายไปแล้ว แต่สุดท้ายก็กลับมาตั้งหลักได้

ไม่น่าเชื่อเลยว่า จากชีวิตเด็กวัดคนหนึ่ง จะสามารถตั้งเป้าหมายที่ดูเหมือนจะยากมาก ตั้งแต่เด็กอายุ 11 ขวบ โดยการบังเอิญอ่านหนังสือของ เดล คาร์เนกี้ ที่กล่าวถึงการตั้งเป้าหมายในชีวิตว่า

1.คนเราจะไม่มีทางประสบความสำเร็จได้เลย ถ้าไม่มีการตั้งเป้าหมายในชีวิต
2. เป้าหมายนั้นต้องไม่ง่ายเกินไป ไม่ยากเกินไปจนเป็นไม่ได้
3. ต้องมีการกำหนดระยะเวลาของแต่ละเป้าหมาย เช่น 3 ปี, 5 ปี,7 ปี
4 ต้องประกาศเป้าหมายให้คนอื่นรู้ เพื่อผลักดันตนเอง

ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่คุณสมคิดเพียงแต่อ่านหนังสือเล่มนั้น แต่เขาเอานำมาปฏิบัติด้วย โดยกำหนดเป้าหมายทีเดียว 5 เป้าหมาย แล้วเขาก็ทำได้สำเร็จจริงก่อนอายุ 25 ปี
ตามที่ตั้งไว้ได้จริงๆ แม้ว่าจะมีความยากเย็นเพียงใด ทำงานจนเลือดออกจมูก ก็ตาม

ไม่เพียงเท่านั้น แม้เขาดูเหมือนจะประสบความสำเร็จในครั้งแรก แต่ไม่นานต่อมา เงินล้านที่เขาหามาได้ ก็นำไปลงทุนจนขาดทุนเกือบหมด เขาได้ตั้งเป้าหมายใหม่อีก 5 อย่าง
เขาทำสำเร็จไปแล้ว 3 แต่อีก 2 นั้น ถ้าจะบรรลุเป้าหมายได้ ต้องตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตอีกเส้นทาง

ในบางครั้ง การต้องตัดสินใจเลือกทำอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น เลือกอาชีพ วิธีการเลือกของเขา เขาใช้วิธีของ คาร์เนกี้ ที่ว่า ให้เลือกเส้นทางที่จะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้ให้เร็วที่สุด
คุณสมคิดไม่ลังเลที่จะเลือกเส้นทางนั้นๆ แล้วก็ได้ผล

อีกอย่างที่ประทับใจคือ เขาไม่ยอมที่จะไม่ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง เมื่อเป้าหมายของเขาคือ ต้องหาเงินให้ได้ 10 ล้าน แต่เมื่อหน้าที่การงานของเขาค่อนข้างมั่นคง ถ้าเขาทำงานต่อไป
ก็สามารถดำเนินชีวิตได้สบายๆ แต่อาจไม่ถึงเป้าหมายที่ตั้งไว้ เขาจึงตัดสินใจเลือกเส้นทางเดินชีวิตใหม่ เพื่อไปให้ถึงเป้าหมายของเขา แม้จะมีความเสี่ยงก็ตาม

การตัดสินใจของเขาในคราวนี้ ดูเหมือนจะไปได้ด้วยดี ถ้าไม่เจอวิกฤตเศรษฐกิจปี 40 ทำให้เขาต้องขาดทุนเป็นจำนวน 5 ล้านบาท ถึงกับคิดอยากฆ่าตัวตาย

ด้วยความที่ว่าชีวิตเขามีหนังสือดีๆให้อ่าน เขาไปอ่านหนังสือของคุณ ฐิตินาถ ทำให้มีกำลังใจในการต่อสู้ชีวิตอีกครั้ง ในที่สุดก็ได้ทำหนังสือ ที่เป็นที่ชื่นชอบของนักอ่านจนติดชาร์ทอันดับขายดี

แต่สุดท้าย หลังจากเขาไปปฏิบัติธรรม 8 วัน เขาก็พบว่า ชีวิตที่เขาอยู่วัดมา 14 ปีนั้น เขาใช้ชีวิต ความคิดที่ผิดหมด การปฏิบัติธรรมทำให้เขารู้จักพัฒนาความคิด และจิตใจ

สุดท้ายเขาฝากข้อคิดที่มีประโยชน์ดังนี้
1. หนังสือดีๆเพียงเล่มเดียว สามารถเปลี่ยนคนได้
2. อย่าหวังเพียงแค่ความสำเร็จ จงหวังที่จะเป็นคนที่มีคุณค่า
3.
ความสำเร็จ คือการที่เราทำบรรลุตามเป้าหมายที่ตั้งไว้
แต่ชีวิตที่มีคุณค่า คือ การที่เราบรรลุตามเป้าหมายที่วางไว้ และเป้าหมายนั้นเป็นประโยชน์ต่อสังคม

ได้ฟังเรื่องราวของเขาแล้ว ต้องเอามาใช้บ้างแล้วล่ะ