Wednesday, June 18, 2008

ปักกิ่ง - Day 4

วันสุดท้ายแล้วเนี่ย มาแป็บเดียวเท่านั้น เหมือนยังไม่ค่อยได้สัมผัสกับความเป็นจีนปักกิ่งกันเลย

แม้จะเป็นวันสุดท้าย แต่โปรแกรมก็ยังมีหนาแน่น

เนื่องจาก วันก่อนๆ เพื่อนทัวร์ของเราเห็นไกด์ฝนสวมจี้ห้อยคอรูป ปี่ชิว ก็เลยสอบถามว่า ไปเช่ามาจากที่ไหน อยากไปเช่าบ้าง ฝนก็บอกว่า เป็นศูนย์ หรือ มูลนิธิ อะไรซะอย่างเนี่ยเกี่ยวกับ ปี่ชิว ที่นี่ไม่ได้อยู่ในโปรแกรมทัวร์ การเข้าเยี่ยมชม จะต้องมีการแจ้งล่วงหน้า เพราะจะมีคิวในการเข้าชม

ในที่สุด ไกด์ฝนก็จองให้คณะทัวร์เข้าชมได้ ดังนั้น โปรแกรมเช้านี้ก็ไปเช่า ปี่ชิว กันก่อน

คนที่มาบรรยายวันนี้ เป็นคนไทยเลยล่ะ เริ่มแรกก็บรรยาย ถึงความเป็นมาเป็นไปของ ปี่ชิว อย่างคร่าวๆ แล้วก็บอกว่าที่นี่จะมี ปี่ชิว 2 ตัวตั้งอยู่ ตั้งแต่สมัยฮ่องเต้ องค์ชายที่ 4 เลยละมั้ง

ต่อการบรรยายด้วย ลักษณะฮวงจุ้ยของบริษัทใหญ่ 2-3 บริษัทในปักกิ่ง ซึ่งตอนแรกค้าขายไม่ดี หลังจากปรับเปลี่ยนฮวงจุ้ย และตั้ง ปี่ชิว 2 ตัว หน้าบริษัทแล้วก็ทำให้กิจการรุ่งเรือง

สุดท้ายก่อนเปิดการขายเป็นกิจจะลักษณะ ก็ให้ลูกทัวร์ได้เห็นปี่ชิวตัวหนึ่ง และสาธิตวิธีการลูบ เช่นจากแก้ม คาง เท้า หลัง สะโพก แล้วก็เอา 2 มือที่ลูบนั้น มาทำท่าใส่กระเป๋า

ทุกคนก็เริ่มเข้าไปทำการลูบทีละคน ตัวฉันเองรู้สึกเฉยๆอ่ะ แต่ก็เข้าไปลูบเหมือนกัน (ก็ไหนๆมาถึงที่นี่แล้วนี่นา)

ก่อนการขาย ผู้บรรยาย จะบอกวิธีการเบิกเนตร ประมาณว่า ปี่ชิวนี้จะเป็นของคนผู้นั้นจริงๆ จะต้องไปทำพิธีก่อน เรียกว่า เบิกเนตร ต้องทำการล้างด้วยน้ำร้อน-เย็น เช็ดด้วยผ้าขาวสะอาด แล้วก็นำไปฝังดิน 49 วัน เพื่อให้ลืมหน้าตาคนที่ทำตัวปี่ชิวนี้มา วิธีการตั้ง ก็ต้องตั้งให้ต่ำกว่าระดับสายตาลงมา

คือประมาณว่า ถ้าปี่ชิวตัวนี้ เป็นของเรา เฉพาะเราคนเดียวที่จับต้องได้ ไม่ให้ใครมาจับ สีของปี่ชิวแต่ละสีก็มีความหมายไม่เหมือนกัน เช่น เขียว-สุขภาพ, ขาว-หน้าที่การงาน, ดำ-การเงิน, ลายทองคำ-ค้าขาย ธุรกิจส่วนตัว, ดำลายเสือดาว (มีจุด) – ดูแลทุกด้าน

แต่มีอีกสีหนึ่ง ที่ไม่ควรตั้งอยู่ในบ้าน คือสีพุทรา ไว้สำหรับเฝ้าทรัพย์ เงินทอง แต่จะตั้งอยู่ฮวงซุ้ย
ก็แล้วแต่ความเชื่อ...

ตัวหนึ่งราคาไม่เบาเลยอ่ะ แค่จี้ห้อยคอ ก็เกือบ 300 หยวนไปแล้ว โปรโมชั่นของร้านนี้จะเป็นแบบนี้ ซื้อตัวใหญ่ แถมตัวเล็ก ซื้อตัวเล็ก แถมตัวเล็กกว่า ไปเรื่อยๆ

งานนี้ ดูแล้วเพื่อนทัวร์ของฉัน ครอบครัว 4 คนนั้นท่าจะหมดเงินไปเยอะแหะ เห็นมีรูดบัตรเครดิตประมาณว่า ไม่แน่ใจว่าจะเกินวงเงินหรือเปล่า

โปรแกรมถัดไป จะไปนั่งสามล้อเที่ยวบริเวณหูต่งกัน

สามล้อที่นี่ คันหนึ่งนั่งได้ 2 คนสบายๆเลย กว้างขวาง ไม่แคบ ดูแข็งแรงและสะอาด



พวกเราทั้งหมดนั่งสามล้อกัน เป็นทิวแถว ขับขี่ผ่านไปบนซอยเล็กๆ ไม่ค่อยได้เห็นอะไรมากนัก เห็นแต่แนวกำแพง บ้านคนส่วนใหญ่ก็ปิดประตู มองไม่เห็นด้านใน

บ้านเรือนในหูต่ง


บ้านแถวนี้ เป็นบ้านชั้นเดียว สมัยก่อน จะไม่ให้ประชาชนสร้างบ้านเกิน 1 ชั้น อันเนื่องจาก มีเฉพาะพระราชวังเท่านั้น ที่จะสร้างสูงได้

ไกด์ฝนบอกว่า ที่เราเห็นสภาพแบบนี้ ไม่ใช่ว่าเขาไม่มีเงิน แต่บ้านแถวนี้ ราคาหลายล้านหยวนกันเลยทีเดียว ก็น่าจะจริง เพราะอยู่ใจกลางเมืองขนาดนี้ (ประมาณ เยาวราช สีลม บ้านเรา) แถมมีทะเลสาบกว้างใหญ่ ต้นไม้ใหญ่ร่มรื่น บ้านอยู่ใจกลางเมืองแถมทะเลสาบและสวน ราคาก็คงไม่เบาจริงๆ


อันที่จริง ฉันอยากเดินสำรวจเองมากกว่า เคยดูสารคดีเกี่ยวกับหูต่งแห่งนี้ จำได้ว่า น้องชายของจักรพรรดิองค์สุดท้ายก็อาศัยอยู่ที่นี่ด้วย แต่สถานที่แห่งนี้ เป็นบ้านเรือนคนอาศัย จะสุ่มสี่สุ่มห้าเข้าไปเดินเที่ยว คงไม่เหมาะแน่ (ไม่ได้ทำแบบแหล่งท่องเที่ยวเหมือนตลาดสามชุกบ้านเรา )


ไม่ค่อยได้ feel อย่างที่ต้องการเลยแหะ ต้องทำใจ มากับทัวร์นี่นา

โปรแกรมสุดท้าย ก่อนไปเทกระเป๋า shopping ภาคบ่าย คือไปวัดลามะ วัดแห่งนี้เป็นที่พำนักขององค์ชายสี่ รัฐบาลจึงต้องอนุรักษ์ไว้

ด้านหน้าวัดลามะ

ข้างในวัด จะทำเป็นศาลเจ้าประมาณ 5-6 ศาลเจ้า โดยจะทำเป็นแนวลึกเข้าไปเรื่อยๆ แต่ละศาลเจ้าก็จะมีองค์พระต่างๆ เช่น เจ้าแม่กวนอิม, องค์พระศาสดาในปางต่างๆ

แผนผังแสดงที่ตั้งทั้งหมดของวัดลามะ

สำหรับศาลสุดท้าย จะเป็นรูปเจ้าแม่กวนอิมขนาดใหญ่ ทำมาจากไม้แก่นจันทน์ที่ใหญ่ที่สุด สูงเสียจนต้องสร้างฐานลงไปข้างล่าง จึงจะนำทั้งองค์อยู่ในศาลได้

เสียดาย ที่นี่เขาไม่ให้ถ่ายรูปในศาล ถ่ายได้แต่ข้างนอก เลยไม่ได้รูปมาแสดงให้ดู


ที่นี่ เวลาประชาชนจะมาจุดธูป เขาจะไม่ให้จุดในศาลเจ้า จะให้จุดนอกศาล แต่ถ้าใครอยากไหว้ข้างใน หน้าองค์พระพุทธรูป ก็ทำการไหว้ด้วยธูปแบบไม่ต้องจุดไฟ

ธูปของที่นี่เขาทำได้ใจมากๆ อันใหญ่กว่าบ้านเราอ่ะ บางอันน่าจะใหญ่ประมาณ 10 เท่าได้ละมั้ง แล้วเวลาเขาจุดแต่ละที ก็เล่นกันเป็นกำๆ เลยทีเดียว

บริเวณข้างนอก สองข้างทาง จะร่มรื่นไปด้วยต้นไม้ ไกด์ฝนบอกว่าเป็นต้นแป๊ะก้วย เพิ่งเคยเห็นนะเนี่ย
ต้นแป๊ะก้วย

อาหารกลางวันวันนี้ เป็นสุกี้มองโกล แต่ละคนจะมีหม้อของตัวเองอันเล็กๆ (ไม่ได้เป็นหม้อรวมเหมือนสุกี้บ้านเรา) เนื้อที่กินก็มี หมู ไก่ และ แพะ

ไม่ได้ลองเนื้อแพะหรอกค่ะ เคยเข็ดเนื้อแกะ(เหม็นสาบ)แล้วก็เลยขอกินอะไร ธรรมดาๆดีกว่า

สุดท้ายและท้ายสุดของวันนี้ คือ shopping ที่ตลาดรัสเซีย ตอนแรกฉันก็นึกภาพว่า จะต้องเป็นแหล่ง shopping ที่ใหญ่โต ของขายถูก มีของเยอะแยะ

แต่ถึงแม้ถ้าจะมีของขายเยอะยังไง ของฝากที่นึกออก เป็นของกินดีกว่านะ ง่ายดีไม่ต้องคิดมากด้วย

ปรากฏว่า ตลาดรัสเซียที่นี่มีแต่ขายของจำพวก เสื้อผ้า กระเป๋า รองเท้า (copy brand name) ไม่มีของกินอ่ะ ไกด์ฝนบอกว่า ของกินต้องซื้อที่ตลาดรัสเซียที่เราไปกินสุกี้อ่ะ (อ้าว เป็นงั้นซะ)

ก็เลยสอบถามได้ความว่า ซูเปอร์มาร์เกต อยู่ใกล้ๆ ประมาณ 200 เมตร ที่คิดอยู่ในใจ ว่าจะซื้อประเภท เกาลัด ลูกบัว แห้งละกัน น่าจะกินกันได้

ไกด์ฝนก็ตัดพ้อต่อว่า ว่าทำไมไม่ซื้อกับฝนล่ะ คือ เมื่อวาน ฝนเขาเอาของแห้งพวกนี้มาให้ชิมกันบนรถ แล้วก็ขายในราคาพิเศษ แต่ปริมาณนี่ซิ ต้องซื้อกันเป็นลัง ลังหนึ่งก็มีทั้ง 30 ห่อ 50 ห่อ แล้วแต่ประเภทของแห้ง

โห จะซื้อไปทำไมเยอะแยะขนาดนั้น พอจะแบ่งครึ่งกับเพื่อนทัวร์คนอื่น ก็ดูเหมือนเขาจะไม่มา join ด้วย

กำลังจะเดินไป supermarket ก็บังเอิญเห็นร้านขายผลไม้ มีหลากหลาย ว่าจะซื้อลูกท้อไปฝากที่บ้านซะหน่อย สอบถามราคา บอกว่า ครึ่งโล 10 หยวน อือม เดี๋ยวกลับมาซื้อละกัน ขอไป supermarket ก่อน

เดินดูของที่ต้องการใน supermarket ก็ไม่พบของที่ต้องการ สุดท้าย ก็เลยซื้อถั่วพุสตาชิโอ้ มาฝากละกัน คราวที่ไปสิงคโปร์ ซื้อ
มาฝากก็เห็นกินกันอร่อย

เพิ่มช๊อคโกแลตอีกสัก 3 ถุงละกัน ยังไงซะ ของกินแบบนี้ กินได้อยู่แล้ว ดีกว่าซื้อพวกบ๊วย ของแห้งแบบอื่นๆ เป็นไหนๆ

ที่เมืองจีนเดี๋ยวนี้ ถ้าไปซื้อของ เขาจะไม่ให้ถุงพลาสติก ถ้าจะเอาถุงด้วย เขาจะบวกไปอีก 5 หยวน พอดีไกด์บอกมาก่อน ก็เลยเอาถุงผ้าไปจ่ายตลาดด้วย

กลับมาซื้อท้อ สรุปว่า ได้ประมาณ 10 ลูก 30 หยวน บังเอิญฉันเห็นเชอร์รี่สีแดงสด ลองชิมดู รสชาติออกเปรี้ยวๆหวานๆ ราคา 35 หยวนต่อ 1 กิโล ก็เลยซื้อมา 1 กิโล

เจ๊ที่ขายพวงกุญแจรูป mascot olympic ก็มาตื๊อขายให้ฉันอีกครั้ง (ตอนไปก็มาตื๊อขายไปรอบหนึ่งล่ะ) ลองถามราคาดู 5 อัน 10 หยวน

ต่อราคาดู เจ๊แกให้ 5 หยวน ฉันลองต่ออีกนิด 4 หยวน เจ๊แกไม่ยอม ไม่ยอมก็ไม่ว่าอะไรหรอก แต่ตอนหลังเนี่ยซิ ดูเหมือนแกจะสบถอะไรสักอย่างออกมาด้วย (ภาษาจีนอ่ะ ก็เลยฟังไม่ออก)

ที่ฉันต่อราคาไปอย่างนั้น เพราะจริงๆแล้วก็ไม่ได้อยากได้มากหรอก ซื้อมาเก็บไว้ อีกหน่อยก็เป็นขยะ แต่ถ้ามันถูกมากๆ ก็เพื่อไปแจกด้วย

ไปเดินข้างในตลาดรัสเซียดีกว่า ไปดูซิ มีอะไรขายบ้าง ส่วนใหญ่จะเป็นเสื้อผ้าอ่ะ แล้วก็ไม่ได้ดูดี ธรรมดาม๊ากมาก ส่วนพวกเครื่องหนัง กระเป๋า รองเท้า ก็ไม่ได้น่าซื้อตรงไหนเลย การจัดพื้นที่ขายของก็ไม่น่าสนใจ ฉันว่า มาบุญครองบ้านเรากินขาดกว่ากันเยอะ (ไม่รู้ว่า จะมาหาซื้อไรกันนักหนา)

มาแค่เดินเล่นเท่านั้นเอง เพราะยังเหลือเวลาอีกแค่ 45 นาทีเท่านั้น เดินๆไปเห็น magnet ติดตู้เย็น รูปกำแพงเมืองจีน จากราคา 10 หยวน ก็ต่อได้ในราคา 5 หยวน คนขายพยายามขายให้ฉันแบบ 10 อันในราคาเท่านี้ แต่ฉัน say no สุดท้ายซื้อมา 2 อัน อันละ 5 หยวน เป็นรูปกำแพงเมืองจีน กับ หอฟ้าเทียนถาน


มานั่งรอที่รถ นั่งนึกๆดูแล้วก็บอกแม่ว่า ไปซื้อเชอร์รี่อีก กิโลดีกว่า ไปเป็นของฝากให้ที่ office น่าจะดูดี

คราวนี้ ไม่ต้องต่อรองไรมาก ซื้อเลย 1 กก. 35 หยวน
แต่ไอ้ที่แสบเนี่ยซิ มีอยู่ 2 ประเด็นด้วยกัน

1.อาแป๊ะแกไม่ใช่เล่นเลยนะ ฉันให้ไป 100 หยวน ตอนแรกแกทอนเงินมา 60 หยวน แล้วก็หยิบแบงค์ 5 เหมา มาให้ (10 เหมา = 1 หยวน) บังเอิญ เจ้าแบงค์นี้ ฉันเห็นลายมันแปลกๆตั้งแต่เมื่อตอนซื้อหยก แล้วก็ถามฝน ฝนก็บอกมาว่าเป็น 5 เหมา ฉันก็เลยต่อว่าอาแป๊ะแกว่า ฉันรู้นะว่านี่มันแบงค์ 5 เหมา ไม่ใช่ 5 หยวน แกเอาแต่หัวเราะแหะๆ

2.เชอร์รี่ที่ซื้อมาเนี่ย ไม่ใช่ 1 กก. ซะหน่อย แต่แค่ 7 ขีดกว่าๆเท่านั้นเอง โกงผู้บริโภค โกงนักท่องเที่ยวนี่หว่า

บนรถ ไกด์หมูได้มอบของที่ระลึกให้กับผู้ชนะในการเล่นเกมส์ พอคุณหมูหยิบออกมาเท่านั้นแหละ โห มันช่างคล้ายกับไอ้ที่ฉันซื้อมาซะจริง แล้วก็ใช่ด้วยอ่ะ magnet

อันที่ได้ ก็ใกล้เคียงกับที่ฉันซื้อซะด้วย magnet รูปกำแพงเมืองจีน เพียงแต่ของฉันมันเป็นสีเทาดำ แต่อันที่เพิ่งได้เป็นสีขาว ฉันก็เลยให้แม่ไปเลย

อาหารเย็น มื้อสุดท้ายของทริปปักกิ่งในวันนี้ จะได้ชิมเป็ดปักกิ่งขนานแท้ กับไวน์แดง เป็ดปักกิ่งที่นี่จะกินหนังรวมกับเนื้อ (ไม่เหมือนที่เมืองไทย ที่กินแต่หนัง) แต่วิธีการกินก็คล้ายๆกัน เอาแป้งแผ่นบางๆมาห่อใส่เป็นลงไป รวมกับเครื่องเขียงนิดหน่อย ใส่น้ำจิ้ม แล้วกิน

ตอนแรก นึกว่า พนักงานจะมาห่อให้ทุกอัน แต่ที่ไหนได้ แสดงวิธีการห่อให้อันเดียว ที่เหลือจัดการเองคร้าบ

อิ่มอร่อยตื้อแล้ว เพื่อนทัวร์ผู้โอบอ้อมอารีของเรา (ครอบครัว 4 คน) ก็เป็นผู้ริเริ่มว่า น่าจะให้ทิปกับไกด์หมู สักครอบครัวละ 500 บาท ดีมั๊ย

อันที่จริง ทุกคนต้องให้ทิปกับไกด์จีนและคนขับรถอยู่แล้ว เป็นเงื่อนไขของทัวร์นี้เพราะระบุอยู่ในโบชัวร์ตั้งแต่เริ่ม อันนี้เข้าใจได้ โดยนักท่องเที่ยว 1 คนให้ 10 หยวนต่อวัน (ดังนั้น ทริปนี้ ครอบครัวฉันก็ต้องให้ไปทั้งหมด 120 หยวน)

แต่ที่ต้องให้พิเศษเนี่ยซิ ฉันคิดว่า ถ้ายูอยากให้ ยูก็ให้เองดิ แต่ตอนนั้นสมองสั่งงานไม่ทัน กำลังเอ๋อๆเบลอๆอยู่ เลยโดนเก็บตังค์ไป 500 บาท (อยากให้เงินหยวนเหมือนกัน แต่มีไม่ถึง 100 หยวน)

เพื่อนทัวร์แม่ลูก ได้โอกาสขอแลกตังค์จากเงินไทยของฉันที่ให้ไปทันที โดยคุณเธอแลกไป 100 หยวนกับเงิน 500 บาท

ส่วนฉันมานั่งคิดๆดู มีอยู่ 92 หยวน เดี๋ยวหยิบยืมใครมาสัก 8 หยวน แล้วให้เงินหยวนแทนดีกว่า ยังไงถ้าไปแลกคืน ก็ไม่คุ้มอยู่แล้ว

ปรากฏว่า แลกคืนไม่ได้แล้ว ก็โดนเพื่อนทัวร์แม่ลูกนั้น แลกตัดหน้าไปซะแล้วนี่

สรุปว่า ไปคราวนี้ เอา pocket money ไปอีก 10000 บาท แทบไม่เหลือกลับมาเลยนะนี่ นี่ขนาดฉันไม่ค่อยได้ซื้ออะไรเลย

แล้วเพื่อน (shopping ) ทัวร์ทั้งหลายจะหมดไปกี่แสนกันเนี่ย

Tuesday, June 17, 2008

ปักกิ่ง - Day 3

โปรแกรมหลักของวันนี้ ถือได้ว่า เป็นจุดมุ่งหมายของฉันในการมาเที่ยวปักกิ่งในครั้งนี้เลยก็ว่าได้ นั่นคือ การไปปีนกำแพงเมืองจีน

เห็นแต่ในทีวีก็ตั้งหลายครั้ง ล่าสุดก็เพิ่งดูซีรีย์หนังจีนเรื่อง จิ๋นซีฮ่องเต้ แม้จะดูไม่จบก็ตาม ทำให้อยากมาสัมผัส 1 ใน 7 สิ่งมหัศจรรย์ ของโลก

กำแพงเมืองจีนนี้ อยู่นอกเมืองปักกิ่งออกไป ประมาณ 60 กิโลเมตร ไกด์หมูบอกว่าจะให้แวะพักเข้าห้องน้ำที่ร้านขายหยก

บนรถ ระหว่างทางเนื่องจากวันนี้เป็นวันทำงานของคนจีน รถค่อนข้างติด คุณหมูกลัวลูกทัวร์จะเบื่อ ก็เลยพยายามหาเกมส์มาให้เล่นกัน

เกมส์แรก ให้หาสำนวน สุภาษิตไทย ที่เกี่ยวกับคำว่า น้ำ ออกมา อย่างเช่น น้ำมาปลากินมด น้ำลดมดกินปลา เป็นต้น โดยคุณหมูจะเป็นคนเริ่มต้นก่อน ใครนึกออก ก็ให้บอกออกมาเรื่อยๆ

เกมส์นี้เล่นได้นานทีเดียว ก็จะไม่ให้นานได้ไง ก็เวลาที่ดูเหมือนจะไม่มีใครนึกออก เธอก็เล่นนับจาก 1 ไปจนถึง 10 พอใกล้ๆจะ 10 ก็ไม่ยอมนับ 10 ซะที ฉันก็เล่นเหมือนกัน ไม่ได้อยากสนุกกับเกมส์หรอก เดี๋ยวหาว่าไม่มีส่วนร่วม

สุดท้าย คนที่ชนะในเกมส์นี้ คือคุณ Thomas จำไม่ได้ล่ะ ว่าสุภาษิตสุดท้ายที่คุณ Thomas บอกคืออะไร

แต่ก็ยังไม่ถึงร้านค้าหยกซะที คุณหมูเธอเลยงัดเกมส์ที่ 2 ออกมาเล่น
เกมส์นี้ ให้บอกชื่อจังหวัดของประเทศไทย ที่มีพยัญชนะ “ร” ออกมา
เท่าที่แต่ละคนบอกออมา ฉันว่า น่าจะมีเกือบทุกจังหวัดของประเทศไทยเลยละมั้ง
สุดท้าย ฉันเป็นผู้ชนะเกมส์นี้ ด้วยจังหวัดสระแก้ว ไม่น่าเชื่อเลยว่า คุณหมูจะไม่รู้ว่า สระแก้วเป็นจังหวัดของประเทศไทยแล้ว

ไกด์หมูบอกว่า จะมีของรางวัลเล็กๆน้อยๆให้ ก่อนกลับ
:
มาถึงร้านค้าหยก จะใช้เวลากันซะเท่าไรกันเนี่ย
คนขายหยก พอเห็นลูกค้าเข้ามาปุ๊บ ก็พยายามหากำไรหยกที่ดูดีมีราคา (สูง) ให้เอามาลอง เห็นวิธีการใส่หยก แล้วก็พอให้เก็บเกี่ยวเอากลับไปใช้ได้บ้าง

เคล็ดลับนิดเดียวเท่านั้น เนื่องจากกำไรหยกนั้น ถ้าใส่ให้สวยต้องหากำไรที่ค่อนข้างพอดีกับข้อมือ ไม่ให้ใหญ่เกินไป และคนจีนเชื่อว่า ถ้าใส่กำไรหยกแล้ว จะไม่ถอดอีกเลย เขามีความเชื่อว่า กำไรหยกเป็นเหมือนเครื่องรางของขลัง

คนขายกำไรหยก จะเอาถุงพลาสติกอันเล็กๆบางมาสวมที่มือของลูกค้าก่อน แล้วถึงจะใส่หยกลงไปที่ข้อมือ เป็นการลดแรงเสียดทานระหว่างมือกับหยก
อือม.. วิธีง่ายๆแบบนี้ ก็นำมาประยุกต์ใช้ได้แล้วแหะ

ฉันถามแม่ว่าจะซื้อหยกใส่หรือเปล่า แม่บอกว่าไม่เอา ก็ราคามันเว่อร์จริงๆ อันละ 1000-5000 หยวน ส่วนตัวฉันเองก็ไม่นิยมหยก คิดๆแล้วซื้อมาคงต้องใช้เอง เอาไปขายใคร ก็ไม่มีใครซื้อ ถ้ามันแตกอ่ะ ซื้อมาแพงอย่างไร ก็เหลือ 0 บาท อยู่ดี (ซื้อทองยังดีซะกว่า)

เดินดูไปเรื่อยๆ เห็นมีหยกเอามาทำเป็นที่ห้อยโทรศัพท์รูป ปี่ซิว, หมูตัวเล็กๆ, หัวใจ ฯลฯ ก็เลยดูแล้วน่าจะ ok กว่านะ ซื้อเป็นของที่ระลึกละกัน

แม่ซื้อตัวหมูไป 2 ตัว ปี่ซิว ไป 3 ตัว ฉันเลือกรูปหมูตัวเล็กๆดูน่ารักดี 1 อัน ทั้งหมด 88 หยวน (ก็ไม่เบานะเนี่ย)

เพื่อนทัวร์ที่ชอบแซวฉันเรื่องซื้อของ ก็พาฉันไปดูหยกอีกโซนหนึ่ง โซนนี้น่าจะเป็น premium zone อ่ะ แบบขายราคาแพงโครต คุณเธอถอยจี้หยกมาอันหนึ่ง เนื้อมันสีออกจะดำๆ ไม่รู้ว่าเป็นหยกประเภทไหน แต่ทำเป็นสัญลักษณ์โอลิมปิก ดูเธอช่างพยายามจะให้ฉันซื้อให้ได้ แต่แหะแหะ ฉันบอกว่า อือม ก็สวยดีนะ (พูดไปงั้น ไม่เห็นสวยตรงไหนเลย ให้ใส่ฟรียังไม่ใส่เลยอ่ะ) แต่ไม่ซื้ออ่ะ (ตอนหลังเธอคงคิดว่า ไม่สามารถโน้มน้าวฉันได้อีกแล้ว ก็เลยไม่เข้ามายุ่งกับฉันอีกเลย เย้ ดีจัง)

shopping งานนี้ เพื่อนทัวร์ 2 ครอบครัวนั้นท่าจะหมดตังค์ไปเยอะ คู่แม่ลูกนั้น ตอนแรกก็ไม่ได้ซื้อชิ้นใหญ่เป็นชิ้นเป็นอันหรอก ซื้อแต่ที่ห้อยโทรศัพท์เหมือนฉัน แต่พอเห็น คุณเอื้อม เธอซื้อกำไรหยกแบบไม่แพงมาก ประมาณ 120 หยวน ก็เลยทำทีว่าจะกลับไปเข้าห้องน้ำ แต่สุดท้ายก็ถอยกำไรหยกมา 1 อัน (ไม่รู้ว่าราคาเท่าไร แต่ก็คงหลายกะตังค์อยู่)

เฮ้อ กว่าจะออกจากร้านหยกนี้ได้ ใช้เวลาไปนานมากๆๆ โปรแกรมถัดไปจะไปดูพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งของกรุงปักกิ่ง

ตอนแรกฉันก็นึกว่า คงมีแต่หุ่นขี้ผึ้งที่เป็นคนสำคัญของประเทศจีนมายืนๆเรียงกันให้ดูเหมือนของประเทศไทย ละมั้ง แต่พอเข้าไปดูแล้ว มันไม่ใช่...

ที่นี่เขาจัดทำเป็นห้อง มีทั้งหมด 26 ห้อง แต่ละห้องจัดเป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์ สมัยราชวงศ์หมิงกับชิง (ถ้าจำไม่ผิดนะ) เรื่องราวการต่อสู้ การครองราชย์ของกษัตริย์แต่ละองค์ และแน่นอน การแก่งแย่งชิงบัลลังก์ (เหมือนจะเป็นเรื่องสากลไปซะแล้ว มีทุกยุคทุกสมัย)



ยอมรับเลยว่า ที่นี่จัดได้ดีมาก ทั้งฉาก องค์ประกอบทุกอย่าง หุ่นขี้ผึ้งที่ทำขึ้นนี้ สัดส่วนดูแล้วใหญ่กว่าตัวคนจริงๆ มีห้องอยู่ห้องหนึ่ง เป็นการจำลองท้องพระโรงในวังหลวง มีเหล่าขุนนางอยู่ 2 ฝั่ง แต่ตรงกลางไม่มีฮ่องเต้ เพราะจะขาย package ถ่ายรูป ให้ผู้ชมสามารถใส่ชุดฉลองพระองค์ ทั้งฮ่องเต้ และ ฮองเฮา แล้วไปนั่งอยู่ตรงกลาง เพื่อนทัวร์ที่ไปถ่ายรูปคราวนี้คือคุณ Thomas เจ้าเดิม แต่พ่อกับแม่ไม่ยอมถ่ายอ่ะ (ตอนหลังมาดูรูปของคุณ Thomas ก็ ok อ่ะค่ะ)

ห้องนี้แหละที่จัดให้นักท่องเที่ยวสวมบทเป็นฮ่องเต้ได้

ก่อนไปปีนกำแพงเมืองจีน แวะกินข้าวเที่ยงกันก่อน มื้อนี้ ไกด์ฝนค่อนข้างจะออกตัวว่า เป็นอาหารท้องถิ่น รสชาติอาจไม่ค่อยถูกปากนัก แต่ก็ต้องกิน

ฉันว่า มื้อนี้อาหารอร่อยทีเดียวเลยอ่ะ ไม่ได้แย่อย่างที่บอก (หรืออาจเป็นเพราะ ไม่ได้คาดหวังว่ามันจะอร่อยมาก่อนก็ได้)

นั่งรถไปอีกนิดก็เริ่มมองเห็นแล้วล่ะ กำแพงเมืองจีน วันนี้(หรืออาจจะนับได้ว่า ทริปนี้ทั้งทริป) ถือว่า โชคดีในแง่ของ สภาพอากาศ เพราะตลอดการเดินทาง ไม่มีแดด , ฝน, อากาศกำลังพอดี ไม่หนาวหรือร้อนเกินไป (แต่ก็จะได้รูปไม่ค่อยสวยนัก)

ไกด์หมูบอกว่า นัดเจอที่รถประมาณบ่าย 3 โมง ฉันก็เริ่มเอาล่ะ จะปีนไปให้ถึงป้อมสูงสุด ไม่แน่ใจว่า ป้อม 6,7

พ่อกับแม่ ปีนไปได้ป้อมแรก ก็บอกว่า พอล่ะ ฉันเก็บรูปถ่ายบริเวณนี้สักพัก แม่บอกให้ฉันเดินต่อไปเองละกัน

เริ่มต้นเส้นทางกำแพงเมืองจีนกันเลย

พยายามมองหา เพื่อนทัวร์คนอื่นๆ ดูเหมือนมีครอบครัว 4 คนปีนขึ้นไปแล้ว แต่สักพัก ดูเหมือนกำลังเดินกลับลงมา

คนอื่นๆไม่เห็นมีใครตามมาเลย แต่ฉันก็เดินต่อไปเรื่อยๆ ดูกำแพงแต่ละป้อม สูงนะ แต่เดินจริงๆ ก็ไม่ค่อยเหนื่อยเท่าไร

ภูกระดึงโหดกว่านี้ตั้งเยอะ ยังพิชิตมาได้แล้ว นี่แค่นี้เอง อีกอย่างวันนี้อากาศดี ไม่มีแดดด้วยอ่ะ ปีนไปเรื่อยๆ พอจะเริ่มเหนื่อย ก็เจอป้อมให้พักหายเหนื่อยละ

นี่ขนาดเราแค่เดินเองนะเนี่ย แล้วคนสมัย 2000 ปีก่อน ต้องทำการสร้างกำแพงพวกนี้ ด้วยแรงงานล้วนๆ จะเหนื่อยยากลำบากขนาดไหนเนี่ย

ก็คงเป็นอย่างนั้นจริงๆนะซิ เคยได้ยินได้ฟังมาว่า การก่อสร้างกำแพงนี้ มีคนตายไปเป็นจำนวนมาก คนที่ตายก็ถูกฝังศพอยู่ในกำแพงนี้ซะด้วยซิ (อึ๋ยย)

ป้อมแต่ละป้อมที่เข้าไปสัมผัสนั้น บรรยากาศไม่ชวนเข้าไปเลย ไม่ใช่อะไรหรอก เหม็นกลิ่นฉี่ นะซิ นี่มันเป็นป้อม หรือห้องสุขากันแน่

ตามแนวกำแพง มีศิลปะทางด้านภาษาเต็มไปหมด แต่ฉันว่า คงเป็นศิลปะสมัยใหม่แน่ๆเลย คนจีนสมัยก่อน คงไม่สลักชื่อคนลงในกำแพงเป็นแน่ อีกทั้งชื่อเหล่านั้นก็เป็นภาษาต่างถิ่นซะเป็นส่วนใหญ่

ศิลปะ(แย่ๆ)บนกำแพง

พอไปถึงป้อม 3 มีบริการให้ ถ่ายรูปติดบัตรประกาศเกียรติคุณ (certificate) พร้อมบริการพิมพ์ชื่อ และวันที่ที่มาลงในบัตรแข็งขนาดบัตรเครดิต ราคา 20 หยวน

Certificate

ก็ดูๆแล้ว ก็ถือว่า ok น่ะ มาปีนกำแพงสักครั้งในชีวิต นอกจากความทรงจำแล้วก็ยังมีของที่ระลึกเล็กๆน้อยๆแบบนี้เก็บไว้ ก็ยังดี ว่าแล้ว ก็ ok

ไหนๆ ให้เจ้าหน้าที่ถ่ายรูปติดบัตรแล้ว ก็ขอให้เจ้าหน้าที่ช่วยถ่ายรูปจากกล้องของฉันอีกสักรูปสองรูปให้ด้วยละกัน อิอิ (ประมาณว่า ช่วยถ่ายให้ด้วยเถอะ มาเดินเดี่ยวๆเดี๋ยวจะไม่มีรูปไปอวด)

นักท่องเที่ยวจะเอากุญแจมาคล้องไว้ เพื่อให้อยู่ด้วยกันกับคนรักตลอดไป

เดินต่อไปเรื่อยๆ ก็ไปเจอ เพื่อนทัวร์ 2 ศรีพี่น้องพยาบาล โอ๋กับเอ๋ อยู่ข้างหน้า กำลังสนุกสนานกับแอ็คชั่นถ่ายรูปกันใหญ่ เลยขอเข้าไปแจมด้วยคน

ดีจัง ไม่ต้องเดินคนเดียว ตะลุยกันต่อ 3 คน ตลอดทางก็เลยมีเพื่อนช่วยกันผลัดถ่ายรูป แถมต้องช่วยกันคิดท่าถ่ายรูปด้วย...




ตลอดทางจะพบนักท่องเที่ยว กำลังปีนขึ้นลงไปเรื่อยๆ หลายๆคนก็เป็นชาวตะวันตก อายุอานามก็ไม่น้อย เป็นธรรมชาติของพวกนักท่องเที่ยวละมั้ง ที่ต่างก็พยายามให้กำลังใจซึ่งกันและกัน ต่าง say hello หน้าตาก็ยิ้มแย้ม คนปีนลงก็ให้กำลังใจคนปีนขึ้น


ปีนกันเกือบจะถึงป้อมสุดท้ายแล้วอ่ะ จริงๆฉันยังสามารถปีนได้ต่อไปเรื่อยๆ แต่เมื่อมองดูเวลาแล้ว ก็ประมาณบ่าย 3 แล้ว เอ๋กับโอ๋ ก็มาชักชวนปีนลงกันแล้ว เอ้าลงก็ลง

สรุปแล้ว ก็มีเพียง 3 คนเท่านั้นสำหรับกลุ่มทัวร์นี้ที่ไปได้ไกลสุดแต่ไม่สูงสุด เสียดายเหมือนกันนะ ไม่รู้ว่าจะมาอีกครั้งเมื่อไร มาแล้วก็ไม่รู้ว่าจะได้ปีนขึ้นหรือเปล่า


โปรแกรมถัดไป ไปร้านผ้าไหม (ไม่อยากจะบ่นเลยว่า ที shopping ให้เวลาเยอะซะ ทีฉันจะปีนกำแพงซะหน่อย ให้เวลาซะกะติ๊ด) ร้านผ้าไหมแห่งนี้ ส่วนด้านหน้าของร้านตั้งโชว์เสื้อผ้าของฮ่องเต้ เป็นผ้าไหมสีเหลือง ดูสวยงามสง่ามาก

ชุดผ้าไหมฮ่องเต้

ชุดผ้าไหมฮองเฮา

คนขายทำการสาธิตวิธีการผลิต เริ่มจากตัวไหมกันเลยทีเดียว ฉันฟังบ้างไม่ฟังบ้าง เพราะบ้านเราก็มีขายผ้าไหมเหมือนกัน แต่ผ้าไหมที่ผลิตได้ที่นี่ เนื้อผ้าจะนิ่มมาก ไม่เหมือนผ้าไหมบ้านเรา ดูแข็งๆ
คนขายเขาสาธิตการทำผ้าห่มนวมด้วย ซึ่งก็ต้องใช้ไหมจำนวนมาก การขายผ้านวม จะขายเป็นจำนวนกิโล เช่น 2 กิโล, 3 กิโล สาธิต packaging อย่างดี สามารถนำกลับบ้านสบายๆ

กำลังคาดการณ์อยู่ว่า ที่ร้านนี้ จะมีใครเป็นลูกค้าหรือเปล่า เพราะราคาผ้านวม ผ้าห่ม นี้ถ้าคิดเป็นเงินไทยก็ประมาณ หมื่นกว่าบาท

สุดท้าย อย่างน้อยร้านนี้ก็ปิดการขายได้ด้วยผ้าปูที่นอนในราคา sale จากคู่แม่ลูกอ่ะ

เสร็จจากอาหารเย็น ตอนแรกนึกว่าจะกลับที่พักกันเลย แต่ยังมีโปรแกรมสุดท้ายของวัน คือ การเดิน shopping ตลาดกลางคืนที่หวั่งฝู่จิ่ง เป็นลักษณะคล้ายไนท์บาร์ซาร์ผสมกับสยามเซ็นเตอร์บ้านเราตอนกลางคืน

ที่นี่เขาให้เวลาไม่นานนัก ประมาณ 1 ชั่วโมง น่าจะแบบเดินเล่นดูบรรยากาศซะมากกว่าการ shopping หลังจากนัดแนะสถานที่นัดพบแล้ว ก็แยกย้ายกันไป

เห็นบรรยากาศของที่นี่แล้วนึกถึง ตอนไปเดินที่เซินเจิ้นตอนกลางคืน แต่ที่นั่นดูจะเป็นแหล่ง shopping มากกว่าที่นี่ ทั้งจำนวนร้านค้า , นักท่องเที่ยว มากกว่าที่นี่มาก

เดินเข้าร้านค้าที่ขายของเกี่ยวกับโอลิมปิค ไปถ่ายรูปตัวตุ๊กตา mascot คนขายพูดอะไรบางอย่าง ไม่เข้าใจเหมือนกัน สุดท้ายคงแปลได้ความว่า ไม่ให้ถ่ายรูปละมั้ง

Olympic Mascot

ไม่ได้ซื้อไรเกี่ยวกับ โอลิมปิค ในคราวนี้เลย เมื่อตอนที่ไปเดินแถวเทียนอันเหมินในวันแรก ก็มีคนมาขายพวงกุญแจ mascot นี้เหมือนกัน แต่ไกด์ฝนแนะให้ซื้อของจริงดีกว่า ของพวกนั้นเป็นของปลอม

ตอนอยู่ในรถบัส ไกด์หมูก็ชักชวนให้ซื้อของจริงเหมือนกัน ทำนองว่า ซื้อเป็นระลึก ถ้าปีหน้าอยากซื้อก็ไม่มีขายแล้ว

ถ้าเป็นเมื่อก่อน ฉันก็คงคิดอะไรที่พื้นๆแบบนี้เหมือนกัน แต่เดี๋ยวนี้ฉันกลับคิดอีกอย่างว่า ถ้าปีหน้า คนขายเอาออกมาขาย ก็คงไม่มีคนซื้อเหมือนกัน (เป็นคุณจะซื้อ mascot ของ โอลิมปิคเกมส์คราวที่แล้วหรือเปล่า)

เดินมาเจอซอยเล็กๆซอยหนึ่ง ต้นซอยขายของกิน ท้ายซอยจะขายของที่ระลึก คล้ายแถวจตุจักร แต่ของกินเนี่ยซิ ในที่สุดฉันก็เจอแล้ว ม้าน้ำ, แมงป่องเสียบไม้ทอด

แม่งป่องทอด

พุทราจีน

ไม่ใช่ว่าตั้งใจจะมาชิมของแปลกหรอกนะ พอดีหลายสัปดาห์ก่อน เห็นเจ้าเรย์ แม็คโดนัลด์ จากรายการ ซ่าส์ซัมแวร์ มาเที่ยวชิมของแปลกที่เมืองจีน ทั้งตะขาบเอย ม้าน้ำเอย เสียบไม้ทอดแบบนี้แหละ สนนราคาก็ใช่ว่าจะถูกด้วยนะ

ยืนดูสักพัก พอฉันทำท่าจะถ่ายรูป คนขายก็ทำท่าไม่ให้ถ่าย (อะไรจะเว่อร์ซะขนาดนั้น ทำอย่างกับว่า กลัวจะมีการ copy ซะนี่ แล้วอีกอย่างเรื่อง copy นี่ จีนก็ไม่ใช่ย่อยซะกะหน่อย) ไม่ถ่ายก็ไม่ถ่ายฟะ

เดินดูของที่ระลึกซักพัก ย้อนกลับทางเดิม เห็นมีขนมวางขายหลายอย่างเหมือนกัน อันที่จริงเพิ่งกินข้าวเย็นมา ยังอิ่มอยู่เลย แต่อยากลองทานเล่นๆ มาถึงที่นี่ปักกิ่งแล้ว ยังไม่ได้ลองชิมของพื้นเมืองสักอย่าง

ดูไปดูมา ไม่รู้จะกินไรดี เห็นมีแป้งกลมๆทอด คล้ายปาท่องโก๋ บ้านเรา 4 ชิ้น 5 หยวน แต่กว่าจะสื่อสารกับคนขายรู้เรื่อง เล่นเอาเหนื่อยเหมือนกัน (ภาพตอนไปเซิ่นเจิ้นผุดขึ้นมาทันทีทันใด) เวลากินเขาจะโรยน้ำตาลมาให้ด้วย

4 ชิ้น กินกัน 3 คนไม่หมดอ่ะ มันจืดๆ ไม่มีรสชาด อีกอย่างยังอิ่มกันด้วย

ได้เวลากลับกันล่ะ วันนี้เที่ยวจนดึกแหะ กว่าจะเข้าโรงแรมก็ 4 ทุ่มครึ่งแล้วล่ะ

Monday, June 16, 2008

ปักกิ่ง - Day 2

เช้านี้ อาหารเช้าเป็นบุฟเฟต์ของโรงแรม จะบอกว่าแทบจะไม่มีไรกินเลย อาหารส่วนใหญ่เหมือนจัดให้ชาวมุสลิมยังไงยังงั้น (เขียนป้ายกำกับอาหารว่า muslim) ข้าวต้มก็ไม่มีกับข้าวซะงั้น ตลอด 3 วันก็เลยกินขนมปัง แฮม(หมู 3 ชั้น) ไข่ดาว (อยู่นานกว่านี้ น้ำหนักขึ้นหลายโลแหง)

โปรแกรมตอนช่วงเช้า ไปดูหมีแพนด้าก่อนเลย

ครั้งแรกอีกเหมือนกันที่จะได้ดูเจ้าหมีแพนด้าเนี่ย ที่เชียงใหม่ก็ยังไม่ได้ไปดู หมีที่นี่ดูเหมือนมันจะมีอายุพอสมควร สังเกตจากสีขาวของมัน แทนที่จะขาว มันกลับเป็นสีหม่นๆออกเหลืองยังไงก็ไม่รู้


หมีแพนด้าทั้งหมด 8 ตัว อยู่ในห้องกระจก กำลังเอร็ดอร่อยกับใบไผ่ซะจริง หลายตัวนอนกินแบบสบายใจ อิจฉาโว้ย นั่งกินนอนกิน อยู่ในที่เย็นสบาย (อิจฉาแต่ไม่อยากเป็นแพนด้าซะหน่อย)

นั่งกิน นอนกิน อะไรจะสุขปานนั้น

ดูได้สักพัก พอสมใจอยากแล้ว ก็ออกมาเดินดูของที่ระลึก ทั้งตุ๊กตาหมี เสื้อหมี ได้ยินตอนหลังว่า สินค้าที่ขายได้ จะไปช่วยหมีแพนด้าที่อยู่บริเวณแผ่นดินไหว

บริเวณขายของที่ระลึก

โปรแกรมถัดมา ไปโลกใต้ทะเล ที่ชื่อว่า TAI PING YANG ระยะหลังเนี่ย ไปบ่อยมากแล้วอ่ะ Under Water World เนี่ยรู้สึกเฉยๆ นี่ถ้าไม่อยู่ในโปรแกรม ก็ไม่มาหรอกอ่ะ

แผนผังแสดงบริเวณจัดแสดงสัตว์น้ำ

ที่นี่ตรงบริเวณก่อนทางเข้าจะมีหอคอยสูงมากๆ นึกถึงหอคอยบรรหารเลยแหะ แต่ที่นี่สูงกว่า

หอคอยหน้าทางเข้า

ปลาที่นี่มีน้อย แต่ก็มีหลายตัวที่ไม่เคยเห็น แล้วก็ยังมีนกเพนกวิน คนมาเที่ยวชมก็น้อย ฝนบอกว่าที่ปักกิ่งมี under water world อยู่หลายที่

แมงกระพรุน ล่องลอย

ออกจากที่นี่ ไปนวดฝ่าเท้าที่ศูนย์วิจัยทางการแพทย์แผนโบราณ ที่นี่เขานวดให้ฟรี (รายได้หลักน่าจะมาจากการขายยาละมั้ง)ไกด์บอกว่าไม่ต้องให้ทิปคนนวดนะ เขาไม่รับ

ไปถึง มีคนบรรยายประวัติความเป็นมาพร้อมทั้งสรรพคุณยาแต่ละตัว คนบรรยายเป็นคนจีน น่าจะอายุประมาณ 60 ได้ แต่พูดไทยคล่องปรือ ท่าทางบรรยายมานานหลายปีแล้วอ่ะ ตัวยาสรรพคุณต่างๆไม่ต้องอาศัยโพย พูดได้น้ำไหลไฟดับ เรียงลำดับได้อย่างถูกต้อง

หลังบรรยายเสร็จ ก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามานวดฝ่าเท้าให้ ต้องล้างเท้าด้วยน้ำอุ่นผสมสมุนไพรจีนเป็นซองๆ เขาบอกว่า เพื่อให้เลือดลมไหลดี และก็กำจัดกลิ่นเท้าด้วย

คนที่มานวดฝ่าเท้าให้ฉันเป็นเด็กหนุ่ม ดูอายุน่าจะสักประมาณ 25 ปี การนวดฝ่าเท้าของจีนจะไม่เหมือนของไทย ของไทยจะเจ็บกว่าอ่ะ ของจีนจะเป็นแบบนวดๆ ทุบๆ

(ไม่รู้ว่า ตอนที่คนนวดของฉัน กับ ของปาป๊า คุยกันเนี่ย จะแอบนินทา ขา(ใหญ่)ของฉันด้วยหรือเปล่า เห็นคุยไป ขำไป เริ่มระแวง อิอิ)

ระหว่างนวด ก็จะมีหมอแมะ คือหมอที่จับเส้นชีพจร เหมือนที่เห็นในทีวี แล้ววินิจฉัยว่า ร่างกายเราผิดปรกติตรงไหนบ้างหรือเปล่า ของฉัน หมอแมะบอกว่า เลือดลมไม่ค่อยดี สั่งยามาให้ 2 ตัว ของปาป๊าก็เกี่ยวกับไต สั่งยามาอีก 2 ตัว ฉันบอกว่า ขอปรึกษากันก่อน แต่สุดท้าย ทั้งครอบครัวฉันก็ไม่มีใครซื้อสักคน

เสร็จจากการนวด ฉันให้ทิปคนนวดไป 30 หยวน ไปแบ่งกัน 3 คน ก็ถือว่า ok น่ะ ไม่ได้ซื้อยาของเขาแล้วก็ถือว่าเป็นสินน้ำใจเล็กน้อย (แต่ดูคนนวดเขาก็รับไปอย่างยินดี ไม่เหมือนที่ไกด์บอกเลยแหะ)

อาหารเที่ยง...

ภาคบ่าย จะไปพระราชวังฤดูร้อนของพระนางซูสีไทเฮา ที่นี่ทำได้สวยงามดี ดูสงบ เห็นรูปถ่ายของซูสีไทเฮาด้วย

รูปปั้นสิงโต

กิเลน

หงส์และมังกร

ไกด์ฝนก็เล่าเรื่องราวของฮ่องเต้ที่เป็นหลานของพระนาง สถานที่ต่างๆ ข้างในมีหลากหลายห้องมากๆ มีทั้งห้องที่คุมขังฮ่องเต้ ห้องของขันทีคนสนิท (ดูแล้วกว้างขวางเทียบเท่ากับห้องของฮ่องเต้) ประวัติของโต๊ะกินข้าวของฮ่องเต้ที่สั่งทำพิเศษ (ฮ่องเต้ที่เป็นหลานของพระนาง ถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ซูสีไทเฮาเลือกไว้ ฮ่องเต้ไม่ชอบฮองเฮาคนนี้ ก็เลยสั่งทำโต๊ะกินข้าว ข้างบนเป็นกระจกใส ข้างล่างไว้เลี้ยงปลา เวลากินข้าวก็จะมองเห็นแต่ปลาว่ายไปมา ไม่ต้องมองหน้าฮองเฮา – โห คิดได้ไงเนี่ย)


หินอัปมงคล ไม่มีใครเข้าไปถ่ายรูปอ่ะ

ที่พระราชวังแห่งนี้ จะมีระเบียงทางเดินที่ยาวที่สุดในโลก เป็นทางเดินที่มีหลังคาเหมือนเก๋งจีน มีภาพวาดแต่ละบล็อกที่ไม่เหมือนกันเลยสักภาพเดียว เมื่อเดินไปจนสุด จะไปพบเรือขนาดใหญ่ ดูเหมือนทำด้วยหินอ่อน สวยงามมาก เรือลำนี้น่าจะเป็นของพระนางซูสี ไว้สำหรับมาพักผ่อนในทะเลสาบ ทะเลสาบแห่งนี้ก็ทำด้วยแรงงานคนอีกเหมือนกัน เรือนี้จอดนิ่งอยู่ ไม่สามารถแล่นได้

บริเวณทะเลสาบ

ริมทะเลสาบ บรรยากาศสวยงาม

ระเบียงทางเดินที่ยาวทีสุด

เรือหินอ่อน

เดินเล่นที่นี่ได้เพลินๆ จริงๆตอนที่เดินตรงระเบียงยาวนั้น มองเห็นพระราชวังอีกแห่งอยู่ไกลๆ บนเขาต้องปีนบันไดขึ้นไปอีก ถ้ามีเวลากว่านี้ หรือแบบมาเที่ยวเอง คงได้ปีนขึ้นไปดูแน่เลย

พระราชวังบนเขา

ตอนเข้าไปเที่ยวไปสบายๆ ไม่มีอะไร แต่ตอนออกมาเนี่ยซิ เจ้าหน้าที่ดันมาฉีดยาฆ่าแมลงตรงทางเดินที่จะไปขึ้นรถบัส ตลอดทางเดินเลย ระดมฉีดแบบว่า ไม่น่าจะฆ่าแค่แมลงอย่างเดียวซะละมั้ง

นั่งพักเหนื่อยซะหน่อย

โปรแกรมถัดไปของวันนี้ ดูเหมือนจะมีแต่ shopping ซะแล้ว เพราะไปที่ร้านไข่มุก ไข่มุกที่นี่เป็นไข่มุกน้ำจืด หอยตัวหนึ่งก็จะมีมุกอยู่มาก เจ้าหน้าที่หยิบหอยมาตัวหนึ่ง แล้วให้ทายว่าข้างในน่าจะมีมุกอยู่กี่เม็ด แต่ละคนทายกันไม่ถูกหรอก เพราะข้างในมีตั้ง 33 เม็ด แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเม็ดเล็กๆ ไปทำเครื่องประดับไม่ได้ ก็เอาไปทำเป็นผงครีม

ด้านหน้าร้านขายไข่มุก

รูปพระนางซูสีไทเฮา เพื่อการันตีความสวยงาม

คนขายที่นี่พอเห็นลูกค้าคนไทยมา เหมือนแมวเห็นหนูยังไงยังงั้น รีบตระครุบทันที เอาผงครีมมาลองทาให้ดู เสร็จสรรพเริ่มเปิดการขายทันที ซื้อ 3 แถม 1 ซื้อเท่านี้เท่านั้น ลดอย่างนู้นอย่างนี้ เพื่อนทัวร์ลองจับกลุ่มกันแล้วหันมาถามฉันว่า จะซื้อครีมหรือเปล่า

ไม่อ่ะ คือคำตอบสุดท้าย อิอิ

ฉันว่า ก็งั้นๆอ่ะ เมื่อก่อนก็ใช้ครีมกระปุกละเป็นพันก็มี ใช้ครั้งแรกๆก็รู้สึกดี แต่แล้วงั้นๆ ไม่มีอะไร ตอนไปเที่ยวปาย ไปซื้อโคลนมาพอกหน้า กลับมาใช้ไป 2-3 ครั้ง ทุกวันนี้ยังวางอยู่ที่บ้านเลย

ดูเหมือนเพื่อนทัวร์คนหนึ่ง เห็นว่า ฉันไม่ซื้อไรเลย ตั้งแต่ ยาจีน ไข่มุก ก็มาแซว(ไม่รู้เล่นหรือจริง) ตอนอยู่บนรถว่า เงินหยวนแบงค์เล็ก แลกคืนไม่ได้นะ

เหรอ (ใครเชื่อก็บ้าไปแล้ว) เหมือนหลายคนจะเชื่อ แต่ฉันไม่เชื่อหรอก เคยแลกมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว จะบอกกลับไปว่า ที่แลกไม่ได้คือเหรียญต่างหากล่ะ

แต่ก็ไม่ได้พูด เฉยๆ บอก อือม เหรอ

สนามกีฬาโอลิมปิค 2008 (สนามรังนก)

ตึกผู้สื่อข่าว (เป็นรูปคบเพลิง)

อาหารเย็น..

เสร็จจากอาหารเย็น ไกด์บอกจะพาไปชิมชาจีน โห มาชิมตอนเย็นค่ำเนี่ยนะ แล้วจะหลับป่ะเนี่ย

ชา

นี่ก็ชา

สาธิตการชงชา

เจ้าหน้าที่สาวจีน แต่งชุดจีนกี่เพร้า มาสาธิตอธิบายชาแต่ละชนิด แล้วก็วิธีชงชา ชาที่เอามาให้ชิม มีทั้งหมด 4 ชนิด
ชาหิมะ
ชา... อันนี้เป็นแผ่นกลมๆ วิธีการชงคือเอาไปต้ม
ชาอู่หลง
ชามะลิ

ฉันชิมแล้วก็รู้สึกว่า ชาหิมะน่าจะ ok ชาอู่หลง นี่ก็เคยกินแล้ว ส่วนชามะลิอ่ะ กลิ่นมะลิมัน..มะลิจริงๆ (ซะงั้น) ฉันว่าชามะลิบ้านเราจะหอมกว่านะ มันไม่ใช่กลิ่นมะลิเพียวๆ(เป็นงั้นไป)

พอเสร็จจากการชิมแล้ว ก็เปิดการขายอีกล่ะ คราวนี้ พนักงานแต่ละคน เข้าถึงลูกค้าแต่ละคนเลยทีเดียว (ไม่เหมือนที่ร้านไข่มุก ให้พวกเราแท็คทีมกันซื้อของ)

พนักงานก็มาถามๆฉัน เน้นของแพงเลย ก็ชา.. เนี่ย แม่บอกว่า ชา...นี้ ที่บ้านก็มี น้าเอามาให้ เห็นเป็นแผ่นกลมๆ ตอนแรกไม่รู้ว่าจะชงยังไง มาเห็นวิธีการชงจากที่นี่แหละ

ฉันชอบชาหิมะมากกว่า รู้สึกว่ากินแล้วชุ่มคอดี กระป๋องเล็ก 100 g ราคา 130 หยวน กระป๋องใหญ่ 200 g 200 หยวน ฉันว่าจะซื้อกระป๋องเล็กก็พอ พนักงานขายพยายาม sale เต็มที่ ประมาณว่า ซื้อ 2 กระป๋องใหญ่ แถมกระป๋องเล็ก ใครจะไปกินเยอะแยะขนาดนั้น

สุดท้าย กระป๋องเล็ก ต่อในราคา 100 หยวน ไม่ให้ก็ไม่เอา เฉยๆ ฉันว่าราคานี้ ยังไงก็กำไรเยอะอยู่ดี สุดท้าย คนขายทำหน้าเหมือนกับว่า ตัดใจขายยังไงยังงั้น

พอฉันควักกระเป๋าจ่ายตังค์เท่านั้นแหละ เพื่อนทัวร์คนนั้นก็ทำท่าปรบมือ ร้องเฮ ซะลั่น ประมาณว่า ในที่สุดฉันก็ยอมควักกระเป๋าจ่ายตังค์แล้ว

แหม ฉันเคยอ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง เขาบอกว่า ให้เห็นเงินเป็นมิตร มิตรของเรา เราก็อยากให้เขาอยู่กับเรานานๆ ทำไมบางคนชอบเห็นเงินเป็นศัตรู เห็นแล้วต้องรีบกำจัด ฉันเห็นด้วยกับข้อความในหนังสือ

ทัวร์คราวนี้ จะมีอยู่ 2 ครอบครัวที่ shopping เกือบทุกร้าน ฉันคอยลุ้นทุกครั้งที่เข้าร้าน shopping ว่าใครจะได้ของมากกว่าใคร

ก่อนขึ้นรถ ด้านหน้าก็มีชา เก็กฮวย ของแห้ง ขายอีก ครอบครัวแม่ลูก ซื้อชากลิ่นกุหลาบ เห็นเป็นดอกกุหลาบตากแห้งเลย จะบอกว่า ฉันเคยชิมตอนไปปายแล้ว it’s not ok เลย ฉันว่า ชากลิ่นดอกไม้ที่ ok สุด ก็ชามะลิ นั่นแหละ เคยกิน ชากลิ่น คาโมมายล์ (Chamomile) โอ้โห ผะอืดผะอม บอกไม่ถูก

โปรแกรมสุดท้ายของวันนี้ จะไปดูการแกะสลักน้ำแข็งเป็นรูปต่างๆ ก่อนเข้าไปเขาจะมีเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ให้ใส่ ท่าทางข้างในจะหนาวมากๆ

พอเข้ามาข้างในได้ประมาณ 2-3 นาที เท่านั้น ก็รู้ทันทีว่า ท่าจะอยู่ได้ไม่นานแน่ ถ่ายรูป พ่อกับแม่ได้ 2-3 รูป แม่ก็บอกไม่ไหว หนาวมาก ขอออกมาข้างนอกล่ะ

ฉันเดินออกไปส่ง พ่อกับแม่ แล้วก็รีบกลับเข้ามาข้างใน ข้างในนี้จะมีการแกะสลักเป็นสถานที่ต่างๆ แต่ก็มีไม่มาก สถานที่แรกที่เห็น จะเป็น หอเทียนฟ้า (ดีนะที่ไปมาแล้ว เลยรู้ว่าเป็นอะไร) , กำแพงเมืองจีน, olympic mascot , etc.




ถ่ายรูปข้างในต้องทำเวลาหน่อย ให้คุณไกด์หมูช่วยถ่ายให้ด้วย จริงๆ ถ้าตากล้องเจ๋งๆ น่าจะถ่ายรูปได้สวย เพราะ น้ำแข็งข้างในจะติดไฟหลากสี แต่ถ้าจะให้ดีต้องมีขาตั้งกล้องด้วย

อยู่ได้ไม่นาน ไม่ไหว ดูเหมือนเสื้อกันหนาวที่ใส่นั้น ไม่ได้ช่วยให้ความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย เพราะมันเหมือนสวมคลุมลงไปธรรมดา ฉันเคยได้ยินมาว่า วิธีการใส่เสื้อกันหนาว คือต้องใส่เสื้อแนบลำตัว ไม่ให้มีช่องว่างระหว่างเสื้อกับผิวหนังของเรา ถึงจะกันหนาวได้ แต่เสื้อกันหนาวที่ใส่แบบนี้ ก็เหมือนไม่ได้ช่วยอะไรจริงๆ

โปรแกรมวันนี้หมดแค่นี้ เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย