Saturday, June 24, 2006

Singpore : Bye

เช้าวันนี้ หลังจากตกลงกันว่าจะไปไหนกันดี ตอนแรกคุณเอกอยากไป Sentosa แต่ lunar ยังไงก็ไม่ไป เพราะ

1. เคยไปแล้ว ไม่อยากไปอีกอ่ะ
2. อยากไปที่อื่นที่ยังไม่ไป
3. ไป Sentosa ต้องใช้เวลาเกือบๆวัน ตอนเย็น ดูน้ำพุ ถ้าไปเพื่อถ่ายรูปแล้วกลับ ไม่คุ้ม (ค่า cable car ก็ 9 เหรียญแล้ว)

ข้อ 3 นี่เอามาเป็นเหตุผลโน้มน้าวเพื่อเปลี่ยนใจคุณเอก สุดท้ายได้ผล lunar แนะนำว่าอือม.. ไป Chinese Garden แล้วกัน แล้วต่อด้วย China Town ตบท้ายด้วย Orchard จะได้ shopping กัน


lunar หาข้อมูลจาก pantip มีหลายคนแนะนำให้ไป อยู่ไกลเหมือนกัน ออกไปนอกเมืองเลยอ่ะ เป็นสวนจีน มีเก๋งจีนอยู่หลายเก๋ง เงียบสงบ ไม่ค่อยมีคน แต่อันที่จริง lunar ค่อนข้างจะผิดคาดพอสมควร นึกว่าจะเป็นสวนแบบโบราณ ธรรมชาติ กว่านี้ แต่นี่ดูค่อนข้างสมัยใหม่ ก็เลยไม่ค่อยปิ๊งเท่าที่ควร

เก๋งจีน



สถานีรถไฟ Chinese Garden
ออกจาก Chinese Garden คิดว่าเวลาไม่พอที่จะไป China Town แล้วอ่ะ ก็เลยไป Orchard กันเลย เห็นอาการหลายคนอยาก shopping เต็มที่

ไปถึง Orchard แล้ว lunar ก็ขอแยกตัวเลยล่ะกัน ไม่อยากเดินตามในกลุ่ม เพราะสุดท้ายอาจไม่ได้อะไรติดมือกลับไปเลย lunar อยากดูของผู้หญิงๆๆ กะจะซื้อกางเกง brand name สักตัวสองตัว ถ้าราคาไม่แพงมาก อีกอย่าง ต้องซื้อของไปฝาก พ่อกับแม่ด้วย โดยเฉพาะแม่ เพราะคราวที่แล้วไม่มีของฝาก รู้สึกไม่ค่อยดีแฮะ

หลังจากความพยายามในการซื้อของฝาก กับมองหากางเกง brand name ผ่านไปประมาณ 3 ชั่วโมง ด้วยอาการเหนื่อยเมื่อยล้าเต็มที่ ก็ยังไม่ได้อะไรเลย ของแพงมากค่ะ ไอ้ที่ลดราคา ก็ลดนิดหน่อย ไม่กล้าซื้อ เสื้อ U2, Giodano, Bossini ดู ธรรมดาๆ ราคาก็ 700-800 บาท กางเกงก็เป็น 1000 ไม่ค่อยสวยด้วย สุดท้ายซื้อ หมูแผ่นเป็นของฝาก (อันนี้ตั้งใจอยู่แล้วว่าจะซื้อ) แล้วก็ได้กระเป๋าถือสีแดงลายสวยๆให้แม่ กับเสื้อ bossini ให้พ่อ ทั้งหมด นี้ก็ OK อ่ะ ไม่กลับบ้านมือเปล่า ทุกคนได้ครบ ทั้งที่บ้านกับที่ทำงาน ส่วนตัวเราเอง ก็ถือว่ามาเที่ยวแล้วกัน

รีบกลับไปที่โรงแรมดีกว่า นัดกันไว้ 6 โมง รถจะมารับไปที่สนามบิน
ไปถึงสนามบิน lunar จะไปทำ tax refund แต่คุณนุ๊กบอกว่า เดี๋ยวไปทำพร้อมๆกัน แต่ไหงสักพัก ไป check in กันแล้ว เอ.. จำได้ว่า เจ้าหน้าที่เขาให้ไปทำ tax refund ก่อนนี่นา

หลังจาก load กระเป๋าไปเรียบร้อยทั้งหมดแล้ว lunar ก็ตัดสินใจว่า อือม.. เราเดินไปทำก่อนก็ได้ ในใจคิดว่า อาจจะทำไม่ได้เพราะต้องแสดงสินค้าที่ซื้อมาให้เจ้าหน้าที่ดู แต่ เอาน่า ได้ก็ได้ ไม่ได้ก็ไม่ได้ ไม่ต้องคิดไรมาก (แต่อุตสาห์ไปยืนตั้งนาน)
ปรากฏว่าเจ้าหน้าที่ถาม lunar ว่า (ฉบับแปลเป็นภาษาไทย)

เจ้าหน้าที่ : ของที่ซื้ออยู่ไหน
lunar : load ไปแล้ว (ทำหน้าตาเหรอหรา)
เจ้าหน้าที่ : มาสิงคโปร์ครั้งแรกหรือ
lunar : ใช่ค่ะ (อิอิ โกหกไปล่ะ)
เจ้าหน้าที่ : คราวหน้า ต้องเอาของมาแสดงด้วยน่ะ
lunar : ค่ะ

สำเร็จ ไม่คิดว่าจะทำได้ แต่แหม ไอ้ 15 เหรียญเนี่ย กว่าจะได้กลับคืนช่างยากเย็นจัง เนี่ยยังไม่รู้ว่าต้องรออีกนานแค่ไหน กว่าจะได้รับเช็ค

กลับด้วยเที่ยวบิน SQ996 เวลา 2 ทุ่มครึ่ง มื้อเย็นได้กินปลาร้อนๆ อร่อยแหะ หรือเป็นเพราะว่าหิวกันแน่

Bye Singpore ถ้าให้มารอบ 3 ต้องฟรีอย่างเดียว ถ้าจ่ายตังค์ล่ะก็ เชอะ ไม่มาล่ะ (อิอิ ทำเป็นพูดดี รอบหน้าก็คงไม่ใช่เราแล้วอ่ะ คนอื่นๆในทีมมีอีกตั้งเยอะที่ยังไม่ได้มา)

Friday, June 23, 2006

Singpore : Communic Asia 2006

วันนี้หลักๆก็ไปงาน Communic Asia อ่ะค่ะ แต่กว่างานจะเปิดก็ 10 โมงครึ่ง พวกเราก็ว่าจะออกไปกันเวลา 10 โมงเช้า
lunar ตื่นสายอ่ะค่ะ 9 โมงแล้ว หนุ่มๆเขาตื่นกันหมดแล้ว โทรมาปลุกเราด้วย ไม่ไหว ไม่ไหว ไม่เป็นกุลสตรีที่ดีเลยนะเราเนี่ย (ก็เมื่อคืนมันเพลียอ่ะค่ะ คืนก่อนนอนแค่ 4 ชั่วโมงเอง)


ระหว่างรอรถไฟที่จะไป expo
พวกเรานั่งรถไฟฟ้าไปที่สถานี Expo อยู่นอกๆเมืองเลยค่ะ จริงๆแล้วก็ใกล้กับสนามบิน Changi ตัวสถานีออกแบบได้จ๊าบมาก เป็นลักษณะคล้าย UFO ขนาดใหญ่

มางานนี้ ตอนแรกนึกว่าจะได้เดินดูเทคโนโลยีใหม่ๆ ที่ต้องการ แต่ที่ไหนได้ คุณซันนี่กับคุณนุ๊ก มาเดินนำไปดูบู๊ทของ partner ทั้งหลายแหล่ 4-5 บริษัท เป็นอะไรที่เราไม่สนใจด้วย อยากไปดูทางด้าน software มากกว่า แต่ก็ได้แต่เดินตามไปเรื่อยๆ เฮ้อ ไม่ไหว ไม่ไหว เรามาทำอะไรเนี่ย


แต่ก็ยังดีที่ได้ของที่ระลึกจาก partner ที่น่าสนใจก็มี ที่ backup sim ยังไม่แน่ใจว่าทำไรได้บ้าง แต่น่าจะเอาไว้ใช้ backup พวก contact ต่างๆ อีกอันหนึ่งที่น่าสนใจคือ มีการแจกพวกหัวต่อต่างๆอย่างครบเลยค่ะ

เดินแต่ละบู๊ท รับแจกของที่ระลึกต่างๆ ส่วนใหญ่เป็นปากกา จริงๆแล้ว technology หลายๆอย่าง น่าสนใจมากๆ แต่ แหะ แหะ ไม่ค่อยได้แวะดูเลย

หลังจากแวะดูบู๊ทของ partner ครบหมดแล้ว กินข้าวเที่ยงที่ในงานเสร็จ ก็บ่าย 3 กว่าๆแล้วละ ว่าแล้วก็จะจรลีจากงานกันละ
เนื่องจากเอกสาร โบชัวร์ ของแจกมีเยอะมาก พวกเราจึงตกลงกันว่า จะเอาของไปเก็บกันก่อนที่โรงแรม ซึ่ง lunar เป็นคนสนับสนุนเต็มที่ (เพราะจากประสบการณ์คราวที่แล้วที่ ZhenShen ในการหอบหิ้ว notebook ไปเดินเที่ยว ยังจำฝังใจไม่หาย) บวกกับครั้งนี้ ถ้าไม่เอาของไปเก็บก่อน lunar จะกลายเป็นยายเพิ้ง บ้าหอบฟางแน่ๆ เพราะมีเป้ กระเป๋ากล้อง แล้วก็ถุงใบใหญ่ใส่โบชัวร์นี่อีก

กว่าจะออกจากโรงแรมได้อีกครั้ง ก็ 5 โมงเย็นล่ะ (พวกหนุ่มๆนี่ทำอะไรช้ากว่าสาวสวยอย่างเราอีก อิอิ) ตกลงกันว่าจะไปถ่ายรูปที่ Melion
อยากทำเวลากัน ก็เลยจะนั่ง taxi ไปกัน แต่ต้องเรียก 2 คัน เพราะพวกเรามากัน 5 คน กฎหมายที่นี่เขาให้นั่งได้ 4 คนเท่านั้น

เรียก taxi คันแรก
คนขับรถ : Where to go?
lunar : Merlion (เมอร์ไลอ้อน)
คนขับรถ : Where?
lunar : Merlion (เมอร์ไลอ้อน)
คนขับรถ : Merlion (เมอร์ไลย่อน)
lunar : Yes
คนขับรถ : OK

ปรากฏว่าคนขับรถเหมือนกับจะตำหนิว่า lunar พูดไม่ชัด แกต่อว่าเราว่าต้องพูด เมอร์ไลย่อน ไม่ใช่ เมอร์ไลอ้อน โอ้ นี่เราเป็นนักท่องเที่ยวนะ เป็นผู้โดยสารด้วยอ่ะ ก็บ้านฉันพูดยังงี้นี่นา

ไปถึง Melion โอ้พระเจ้า ตอนแรก lunar มองไม่เห็นว่าอยู่ตรงไหน คุ้นๆว่ามันอยู่ตรงนี้นี่นา ที่แท้ เขากำลังปิดซ๋อม เอาผ้ามากางขึงไว้ คนอื่นๆได้แต่เสียดาย ส่วน lunar ก็เฉยๆนะ เพราะคราวที่แล้วก็ถ่ายไปแล้ว เพียงแต่เสียดายตังค์ค่า taxi มากกว่า (นั่งแป๊บเดียว เกือบๆ 7 เหรียญอ่ะ)


อิอิ ถ่าย Merlionได้แค่ฉากกั้น

ถ่ายตึกทุเรียนแล้วกัน

งั้นถ่ายเจ้าตัวเล็กก่อนไปพลางๆ
ได้แต่ถ่ายรูปบริเวณนั้น ตึก Esplanade (ตึกทุเรียน) แวะกินไอติมแท่งสี่เหลี่ยมๆ ขนาบข้างด้วยขนมปัง 1 แผ่น หรือ biscuit ตอนแรกจะหารูปปั้นเด็กที่เป็นสัญลักษณ์ของบริเวณนี้ เป็นรูปปั้นเด็ก 2-3 คน ยืนเกาะเอวเรียงกันไป คนสุดท้ายกำลังจะกระโดดลงแม่น้ำ คราวที่แล้วเดินไปเดินมาก็เจอ แต่คราวนี้ไม่เจอแหะ ลองสอบถามบริกรโรงแรม แต่สงกะสัยเขาฟัง lunar ไม่ออกอ่ะ ถามเขาว่า "Where are the black child statue?" แต่เขาทำหน้างงๆๆ เฮ้อ กลุ้มใจภาษาอังกฤษของเราจัง นับวันจะถดถอยลงไปทุกที

รูปนี้ขอยืมจาก trip คราวที่แล้ว
เดินมาแถวๆ Marina มีอาหารขาย ร้าน open air แวะกินสะเต๊ะกันนิดหน่อย ทริปต่อไปของพวกเราคือ Sim Lim เป็นตึกที่ขายอุปกรณ์ eletronic เหมือน Fortune บ้านเราอ่ะ

แวะกินข้าวเย็นที่ Food More มีอาหารหลากหลายมากๆ ดูๆแล้ว lunar ก็เลยเลือกบะหมี่เกี๊ยว ดูน่ากินดีอ่ะ ราคา 4 เหรียญ แต่ทว่า พอลองกินแล้ว รสชาดไม่ work เลยแฮะ เหมือนเป็นบะหมี่เจ ยังไงยังงั้น แถมเกี๊ยวก็ไม่ใช่เกี๊ยวกุ้ง แต่ใส่ผัก โอ้ พระเจ้าช่วย บะหมี่เจ 100 บาท

ไป Sim Lim, lunar ไม่ได้จะซื้อไรหรอก แต่หลายคนอยากมา มาแล้วก็ไม่เห็นได้ซื้อไรกัน เมื่อยแล้วอ่ะ


บะหมี่เจ
จุดหมายจริงๆของพวกเราในคืนนี้น่าจะเป็นที่นี่เลย Mustafa เป็นห้างของพวกแขก เปิดตลอด 24 ชม.มีของขายสารพัด เครื่องใช้ไฟฟ้า eletronic กระเป๋า ของกิน ของที่ระลึก

ออกจาก Sim Lim พวกเราคิดกันว่าจะไป taxi หรือว่าจะเอายังไง บังเอิญสอบถามคนขายของหน้าร้าน เขาพาไปหาผู้ชายกลางคน นั่งอยู่หน้าห้าง เหมือนเป็น taxi แต่ไม่ขึ้นทะเบียน (ทำนองว่า จ้างส่วนตัว) ก็ดีอ่ะ พวกเรานั่งอัดไปข้างหลัง 4 คน ข้างหน้า 1 คน เขาคิดค่าบริการไป Mustafa 6 เหรียญ ถ้าเรียก taxi ต้องแพงกว่านี้แน่ๆ เพราะยังไงก็ต้องเรียก 2 คัน

แต่ทว่า ไหงรถเป็นยังงี้อ่ะ ไม่มีแอร์ ต้องเปิดหน้าต่าง คนขับแนะนำตัวว่าชื่อ David รถคันนี้ใช้มาประมาณ 16 ปีแล้ว โอ้โฮ (มิน่าล่ะ สภาพถึงได้ ...) ก่อนถึง Mustafa พวกเราถามว่าถ้าจะให้รับกลับไปที่โรงแรม คิดราคาเท่าไร David บอกว่า 6 เหรียญ แล้วก็ให้เบอร์โทรศัพท์ไว้ เผื่อโทรเรียก บอกว่าอย่าเกิน ตี 1 นะ

พวกเราใช้เวลาที่เหลือทั้งหมดอยู่กันที่นี่ lunar ซื้อพวกของกิน มีถั่ว Pistachios ที่เป็นถั่วเปลือกแข็งๆอ่ะ ราคาเมืองไทยก็แพงนะ ซื้อมา 2 ถุงใหญ่ แล้วก็ Almond อีกถุง บวกกับของที่ระลึกให้น้องๆ ดูๆไปมา ไม่รู้จะซื้อไร พวงกุญแจก็น่าเบื่อ เห็นใครไปสิงคโปร์มาก็ซื้อแต่พวงกุญแจรูป Merlion ซื้อยากเหมือนกันนะ เพราะปัจจัยที่สำคัญคือ ราคาด้วยอ่ะ คือพูดง่ายๆว่าแพง สุดท้ายซื้อปากกา มีสัญลักษณ์ว่า "I love Singapore" ให้ละกัน จะได้ใช้ประโยชน์ด้วย ราคาตกอันละ 47 บาท ซื้อหลายอันก็หมดไปหลายบาทเหมือนกันน๊า

เงี๊ยบซื้อกระเป๋า notebook, พี่เล็กซื้อกระเป๋าเดินทาง ก็ OK น่ะ ดูคุณภาพดี ราคาก็ไม่แพง หลังจากที่ shop กระจายกันแล้ว ก็บังเอิญเจอคุณนุ๊ก เธอแนะนำว่า ถ้าซื้อเกิน 300 เหรียญ สามารถทำ tax refund ได้ โดยจะได้คืนประมาณ 15 เหรียญ lunar ก็เลยรวบรวมใบเสร็จของทุกคน เกิน 300 เหรียญ ก็เลยอาสาจะไปทำ tax refund ให้

ต่อคิวอีกนานมาก เกือบถอดใจไปหลายรอบแล้วว่าจะไม่เอาดีมั๊ยเนี่ย เพราะเมื่อยๆๆๆๆมาก แต่สุดท้ายก็ได้ทำ เจ้าหน้าที่บอกว่า ก่อน check in ที่สนามบินให้ไปทำ tax refund โดยต้องแสดงของที่ซื้อมาด้วย แล้วใส่เอกสารลงในซอง รอรับเช็คที่เมืองไทย

เสร็จจากทำ tax refund หมดสภาพอีกแล้ว เหนื่อยมากๆๆๆ ออกจากที่นี่เกือบตี 1 ฝนตกอีกอ่ะ ตกหนักซะด้วย ลองโทรเรียก David ว่าจะมารับหรือเปล่า ปรากฎว่าได้ผล David มาแฮะ

ขากลับนี่ ไม่รู้ว่าคิดถูกคิดผิด ก็คุณ David นี่ขับฉวัดเฉวียนมากเลย ที่ปัดน้ำฝนก็ปัดเหมือนไม่มีไรเกิดขึ้น น่ากลัวจัง แถมไม่สามารถปิดหน้าต่างได้อีก lunar นั่งหลัง David น้ำสาดเข้ามาเต็มๆ

กลับถึงโรงแรม กว่าจะได้นอนก็ตี 2 ครึ่ง นั่งจัดกระเป๋า แต่ไหงคุณนุ๊กยังไม่กลับอีกอ่ะ

Thursday, June 22, 2006

Singpore : Second Visit

วันนี้ lunar จะไม่อยู่เมืองไทย ไปงาน Communic Asia 2006 ที่สิงคโปร์ กลับเมืองไทยวันเสาร์ ไปครั้งนี้ บริษัทไม่ได้ส่งไปโดยตรงหรอกนะ บริษัทคู่ค้าเป็นผู้ส่งไปต่างหาก ออกค่าตั๋วเครื่องบินกับค่าโรงแรมพร้อมอาหารเช้าให้ ส่วนค่าอาหารกับค่าเที่ยวออกเอง อือม.. เอานะ ก็ดีกว่าไปเอง

ไปคราวนี้ so so อ่ะ ไม่ค่อยมีอะไรสนุกตื่นเต้น เหมือนเมื่อตอนไป ShenZhen รูปก็ไม่ค่อยได้ถ่าย ถ่ายออกมาก็มืดๆ ไม่ชัด อีกอย่างเวลาน้อย แล้วก็หลายๆที่ก็ไปมาแล้วเมื่อคราวที่เที่ยวตอนปลายปี 47


บริเวณตัวเมืองสิงคโปร์ ส่วนใหญ่คอนโดหรือที่พักจะคล้ายๆกันแบบนี้
ไปกันทั้งหมด 5 คน มีจากบริษัทอื่นไปด้วย (ไปกับครอบครัวด้วยนะ เหมือนไปเที่ยวอ่ะ) ไปด้วยสายการบินสิงคโปร์ เที่ยวบิน SQ61 ออกเวลา 7:45 เช้าเลย นัดกัน 6 โมงเช้า รีบไป check in กันก่อน ไม่อยากเจอเหมือนเหตุการณ์วันที่ไป ShenZhen
ไปถึงสิงคโปร์ คนที่มารับเป็นถึง MD ของบริษัท Access Consulting ชื่อคุณซันนี่ ตอนแรกไม่แน่ใจว่าคนไทยหรือเปล่า เพราะพูดไทยได้ชัด แต่สักพักก็พูดอังกฤษ สลับไปมา ตอนหลังถึงได้รู้ว่า เขาอยู่เมืองไทยหลายปี จนพูดได้ชัด OK เลยอ่ะ


พวกเรานั่งรถบัสรวมไปหมดคันเดียว ไปพักกันที่โรงแรมชื่อ YWCA Fort Canning Lodge อยู่ในบริเวณเนินเขา ใกล้กับสถานีรถไฟฟ้า NE6 หรือ NS24 ชื่อ Dhoby Ghaut แต่ยังไม่สามารถ check in ได้เพราะช่วงนี้คนมาสิงคโปร์เยอะ ต้องรอให้ check out ก่อน คุณนุ๊ก (เจ้าหน้าที่ Access Consulting) ก็เลยพาไปกินบะหมี่ที่ Park Mall

บริเวณ Park Mall ใกล้ๆกับโรงแรม

คิวเรียกรถ taxi
อาหารที่สิงคโปร์ราคาค่อนข้างแพง บะหมี่น้ำธรรมดา ราคา 3 เหรียญ (75 บาท แบบถูกๆแล้วนะ) ส่วนน้ำเปล่า ยิ่งแพงใหญ่ แบบ 500 ml ราคาเกือบๆ 50 บาท

เงี๊ยบลองสั่งกาแฟเย็นมากิน เห็น package ของเขาแล้ว อึ่งทึ่ง น่าเลียนแบบ จริงจริ๊ง


กินบะหมี่เสร็จ นึกว่าจะได้ออกเที่ยว ปรากฏว่า ต้องไปดูโรงงานของบริษัท Allied Telesyn อือม เอานะ ก็ไหนๆ เขาก็เป็นส่วนหนึ่งของ sponsor ที่พวกเรามากันแล้วนี่

กว่าจะออกจากโรงงานได้ ก็เกือบ 5 โมงเย็นแล้วอ่ะ พวกเรากลับกันมาที่โรงแรมกันก่อน มาตกลงกันว่า คืนนี้จะไปไหนกันดี กว่าคุณผู้ชายทั้งหลาย จะเปลี่ยนองค์ทรงเครื่อง กว่าจะตกลงกันได้ ก็เกือบ 6 โมงเย็นละ

ตกลงกันว่าจะไปถ่ายรูปที่ Merlion (ไม่ค่อยอยากไปเลยอ่ะ เคยไปมาแล้ว) แล้วก็จะไปเดิน Orchard (อันนี้ก็เฉยๆ ไปมาแล้วอีกเช่นกัน)

มายืนรอ Taxi ได้สักพัก พวกเราก็คิดกันว่า ดูๆแล้วไปถ่ายรูปตอนนี้คงไม่ค่อยสวยแน่ เริ่มมืดๆแล้ว ถ้างั้นเปลี่ยนไป Orchard เลยแล้วกัน
คุณเอกได้ข้อมูลแหล่งช๊อปปิ้งมาหลายที่ หลักๆก็คือ Lucky Plaza ขายของที่ระลึก, Toy Us ขายของเด็กเล่น อยู่ใน Paragon

Orchard Road
ที่ Lucky Plaza ได้ของที่ระลึกให้หัวหน้า เป็นปากกากับพวงกุญแจ อยู่ในกล่อง ก็ดู OK 3 ชิ้น 10 เหรียญ พี่เล็กขอแจม 1 ด้าม ที่ Toy Us ซื้อสร้อยข้อมือนาฬิกาให้น้องปอนด์ แบบเด็กๆน่ารักๆ ซื้อ 1 แถม 1 ราคา 3 เหรียญ

พวกเราเดินเที่ยวแถว Orchard กันนานมาก ผ่านร้านๆหนึ่งเป็น Sex shop พวกหนุ่มๆแวะเข้าไปดูกัน lunar ขอแว๊บเข้าไปดูซะหน่อย แหะ แหะ แล้วออกมาข้างนอก รอพวกหนุ่มๆ (ไม่รู้ว่าได้อะไรติดไม้ติดมือมาบ้างอ่ะเปล่า)

หลายคนเริ่มเดินไม่ไหว แต่อย่าหาว่า lunar คุยเลยนะ ยังไม่ค่อยรู้สึกเมื่อยเลยอ่ะ ตอนนั้น 3 ทุ่มครึ่งแล้ว พวกเราเตรียมหาข้าวเย็นกินกัน แต่ว่าหลายๆร้านปิดไปหมด สุดท้ายเจอ Burger King อาหารเย็นของพวกเราจึงต้องเป็น burger เพราะไม่แน่ใจว่า ถ้าเดินต่อไป ข้างหน้าจะมีอะไรให้กินอ่ะเปล่า

พวกเราเดินกันไปเรื่อยๆ สุดท้ายเดินกลับโรงแรมกัน แหะแหะ ถึงตอนนี้เริ่มเมื่อยแล้วเหมือนกัน พวกเราขอไปพักในโรงแรมก่อนแล้วจะมาตกลงกันอีกทีว่า จะไป Mustafa กันอ่ะเปล่า (แต่ lunar คิดว่า ถ้าเข้าโรงแรมแล้วด้วยอาการเหนื่อยแบบนี้ คงยากที่จะออกมาแล้วล่ะ)

Saturday, June 17, 2006

พลุ multimedia@เมืองทอง

เย็นวันนี้จะมีการแสดงพลุ พร้อมกับ multimedia ที่เมืองทองธานี จัดโดยกองทัพบก ได้ยินมาว่า จะเป็นการแสดงที่ยิ่งใหญ่ระดับเอเชีย ไม่เคยมีมาก่อน น่าสนใจเหมือนกัน ใกล้บ้านซะด้วย ไปดูดีกว่า

งานนี้ไปกับครอบครัวค่ะ ไปกับมามี๊กับเจ๊ฮวง ขับรถไปดีกว่า เริ่มออกจากบ้าน 4 โมงเย็น ไปถึงเมืองทอง ระหว่างทาง เริ่มเห็นคนๆๆๆ จำนวนมากขึ้น มากขึ้นทุกที รถจอดเป็นแถวยาวเหยียด

คิดกันว่าจะจอดรถที่ไหนดี สุดท้ายก็ไปจอดในอาคาร impact เสียค่าจอดรถที่คิดกันแล้วว่าไม่แพง เดินไปดูพลุใกล้ดี
คนเยอะแยะเต็มไปหมด ใส่สีเหลืองกันทั้งนั้น ระหว่างทาง มีรูปพระบรมฉายาลักษณ์ขายเยอะแยะ ลองๆถามรูปในหลวง ขนาดใหญ่ ราคา 79 บาท อือม..ถามไปอย่างนั้นแหละ เพราะจองซื้อรูปนี้ไว้แล้วกับพี่โม่ง พร้อมกรอบหลุยส์อย่างหรู ราคา 999 บาทไปแล้ว

งานนี้ เตรียมเสื่อไปด้วย ไปถึงบริเวณลานที่นั่งดูพลุ โอ้โฮ คนนั่งเต็มไปหมดแล้วนะเนี่ย lunar นั่งออกมาตั้งไกลแล้ว ไม่รู้จะทำไง ก็เลยต้องปูเสื่อนั่งไปพลางๆ

ร้อนๆๆๆมาก แสงแดดตอน 4-5 โมงเย็นเนี่ย ยังแรงแผดเผาจริงๆ ปูเสื่อแล้วก็นั่งกางร่ม เพราะไม่สามารถจะทำอะไรมากไปกว่านี้ได้ ก็ได้แต่รอเวลาเท่านั้น

นั่งรอสักพัก ไปหาอะไรรองท้องดีกว่า งานนี้ท่าทางจะอยู่ยาว lunar อาสาออกไปซื้อของกิน แต่ไม่รู้จะซื้ออะไรมาก ได้แต่ข้าวโพด 3 ฝักกับขนมจีบ

ขากลับเดินมาบริเวณที่นั่ง เริ่มตาลาย คนเยอะมาก ละลานตาไปหมด ก่อนไปก็เลยต้องดู landmark ก่อนก็พบว่า ที่นั่งที่เราจองนั้นใกล้กับรถขายน้ำ pepsi

หลังจากรอแล้วรอเล่า ดูๆเหมือนฝนจะตก เมฆเยอะ ได้แต่ภาวนาว่า อย่าเพิ่งตกนะ อุตสาห์รอมาตั้งนาน
และแล้ว ในที่สุดก็เริ่ม ประเดิมด้วยการยิงพลุ ลูก 2 ลูก เป็นการประเดิมก่อน แล้วก็เริ่มฉายม่านน้ำ

โอ้ ที่ที่ lunar นั่งอยู่เนี่ย มันช่างไกลเหลือเกิน แทบมองไม่เห็นม่านน้ำเลยง่ะ แต่บริเวณงานมีการติดตั้งจอโทรทัศน์ขนาดใหญ่ เพราะมีการถ่ายทอดสด ณ ขณะนี้ไปพร้อมกันด้วย lunar ก็เลยนั่งดูจากจอโทรทัศน์แทน ซึ่งก็มองไม่ค่อยเห็น เพราะติดตั้งได้เตี้ยมากๆ ไม่เข้าใจจริงๆ

เจ้าหน้าที่พยายามให้ประชาชนนั่งลง ไม่เช่นนั้น คนหลังๆจะไม่สามารถมองไรเห็น ที่ที่ lunar นั่งอยู่ ในตอนแรกนึกว่ามีเจ้ารถขายน้ำ pepsi เนี่ยดีนะจะได้เป็น landmark แต่ที่ไหนได้ ปรากฏว่า มีคนมาซื้อของตลอดเวลา ทำให้คนที่อยู่ด้านหลังมองไรไม่เห็น เวงกำ จริงๆ

สลับกับม่านน้ำ ก็ยิงพลุแล้วละ พลุที่นี่ เป็นพลุลูกใหญ่ๆ เหมือนพลุไซโก้ ตอนดูพลุเนี่ย ดูได้เต็มที่ ไม่มีอะไรมาบัง

พลุก็ดูสวยดี ลูกใหญ่ๆ แต่บางครั้งก็ยิงซ้ำๆ เยอะๆ เต็มไปหมด ดูไม่ทัน ถ้าเทียบกับของไซโก้ lunar ชอบของ ไซโก้ มากกว่า เพราะหลากหลายกว่า สวยกว่าอ่ะ มีการยิงเลเซอร์ ม่านน้ำ แล้วก็พลุ ก็ OK รวมๆก็สวยดี สมกับที่โฆษณาไว้ lunar มองไปที่ทางด่วน เห็นคนจำนวนมาก จอดรถแล้วลงมาดูพลุ ตลอดแนวทางด่วน

ก่อนจบงาน มีการจุดเทียนชัย ถวายพระพร lunar ซื้อมา 3 เล่ม 10 บาท งานนี้ทำให้แม่ค้า พ่อค้า รวยกันไปหลายคนเหมือนกัน ที่เห็นๆก็กระดาษปูรองนั่ง, น้ำ, ขนม, เทียน ฯลฯ

การจุดเทียน ประกอบกับการร้องเพลง สดุดีมหาราชา พร้อมกับการจุดพลุประกอบ แล้วสามารถจุดพลุให้จบพร้อมกับเพลง ถือว่าการจัดงานคราวนี้ทำได้ดี

จบแล้ว การจุดพลุ พร้อมกับการตระเวณดูพลุตามที่ต่างๆของ lunar แต่ปัญหาใหญ่ที่กำลังเผชิญอยู่คือ การกลับบ้าน
คนเยอะมากจริงๆ เอาแค่เดินมาที่อาคารจอดรถ แทบจะเบียดกันตาย ตามรายทาง แม่ค้าที่ขายรูปในหลวง ก่อนหน้านี้ราคาใบละ 79 บาท ปรากฏว่าขากลับ ราคาเหลือ 3 ใบ 100 บาท โอ้ demand ลด ราคาลดทันที

กว่าจะมาที่อาคารจอดรถ เตรียมจะกลับแล้วละ แต่ปรากฏว่า ดูจากรูปการณ์แล้ว รถติดมากๆๆๆๆ หลังจากที่นั่งรถติดอยู่ในอาคารจอดรถเกือบครึ่งชั่วโมง งั้นอย่าเพิ่งกลับเลย จอดรถแล้วไปหาที่นั่งก่อนดีกว่า

เจ๊ฮวงไปหาซื้อ McDonald รองท้องไปก่อน งานนี้คงยาวแน่เลย แล้วก็เป็นจริงด้วย หลังจากรอแล้วรอเล่า เกือบๆ 5 ทุ่ม ก็เลยลองว่าจะกลับกันละ

รถก็ยังติดอยู่ดี ดูแล้วไม่ได้ลดลงไปเลย กว่าจะเขยิบออกมาทีละนิดทีละหน่อย เหนื่อยจริงๆ
ตลอดระยะทางของเมืองทอง เต็มไปด้วยขยะ แล้วก็ขยะ เฮ้อ เมื่อไหร่คนไทยจะมีจิตสำนึกเรื่องของความสะอาด ความรับผิดชอบกันบ้างละเนี่ย

คืนนั้น กลับถึงบ้าน เที่ยงคืนครึ่ง ใช้เวลาทั้งหมดเกือบ 4 ชั่วโมง ทั้งๆที่ ถ้าเป็นเหตุการณ์ปรกติแล้ว ไม่น่าจะเกิน 15 นาที
เหนื่อยจริงๆแหะ การดูพลุครั้งสุดท้ายเนี่ย

Thursday, June 15, 2006

10 ปี ดวงแก้ว

เผลอแป๊บเดียว ย้ายมาอยู่ที่หมู่บ้านดวงแก้วนี้ 10 ปีล่ะ เฮ้อ เวลาหนอ ช่างผ่านไปอย่างรวดเร็วจริง

15 มิถุนายน 2539 จำได้ว่าเป็นวันเสาร์ วันนั้นมีรถกระบะแค่ 2 คัน ขนของกันประมาณ 4-5 เที่ยว ขึ้นทางด่วนกันสนุกสนาน ย้ายกัน 1 วันเต็มๆ ทิ้งของไปหลายอย่างเหมือนกัน ก็อยู่ที่กิ่งเพชรมาตั้ง 20 กว่าปีนี่นา

นั่งนึกไปนึกมา มีอะไรบ้างตลอด 10 ปีที่เปลี่ยนไป พอสรุปได้ดังนี้
- มีสะพานข้ามถนน หน้าโรงเรียนพระหฤทัยนนทบุรี
- มี ATM (ของ BANK THAI) 1 เครื่อง อันนี้เพิ่งมาติดได้ไม่นาน ประมาณ 7-8 เดือน
- ไฟข้างถนนเปลี่ยนไป จากไฟนีออนที่แถบจะส่องอะไรไม่เห็น เป็นไฟดวงใหญ่ๆที่ใช้ส่องบนท้องถนน
- มี 7-11 มาตั้งที่หน้าหมู่บ้าน
- ป้ายหน้าหมู่บ้านเปลี่ยนไป มีการทำป้ายใหญ่ขึ้น อันนี้คิดว่า หลังจากประชามติของกรรมการหมู่บ้าน กับสมาชิกแล้วว่า ควรทำใหม่ เนื่องจากตอนกลางคืน แท็กซี่แถวนี้ จะมองไม่เห็นทางเข้าหมู่บ้าน ก็มันมืดออกอย่างนี้
- ตลาดนัดเปลี่ยนไป เมื่อก่อนตอนมาอยู่ใหม่ๆ สัปดาห์หนึ่งจะมีตลาดนัดวันเดียว คือวันพุธ ต่อมาเป็น 2 วัน คือ วันพุธกับวันเสาร์ ต่อมามีทุกวันเลย จน ณ วันนี้ พวกเราชาวดวงแก้ว มีตลาดสดแล้ว เย้
- รถติ๊ดติด ติดมากๆเลย ตรงแยกสวนสมเด็จ เมื่อ 10 ปีก่อน รถวิ่งสบาย เดี๋ยวนี้ทำไมแยกนี้มันติดอย่างนี้แหละ แสดงว่า บ้านเราเริ่มเจริญแล้วใช่ป่ะ (อิอิ)
- คนอยู่เยอะขึ้น

10 ปีเปลี่ยนไปแค่เนี้ยะ lunar ว่า หมู่บ้านเราพัฒนาไปน้อยจังนะ

Wednesday, June 14, 2006

World Blood Donation Day

เช้าวันทำงานวันนี้ ยังไม่ไปทำงานอ่ะค่ะ เพราะ lunar จะไปเดินร่วมพิธีเปิดงาน วันผู้บริจาคโลหิตโลก 2549 (World Blood Donor Day 2006) ที่สวนลุมพินี เริ่มตั้งขบวนตั้งแต่ 7:00 น.

ไม่ได้ไปทั้งวันหรอกนะ ก่อนไปร่วมงาน จึงจำเป็นต้องเอา notebook ไปไว้ที่ office ก่อน แล้วนั่งรถไฟฟ้าไปพร้อมกับน้องโต้ง

ไปถึงสนามหญ้าลานพระรูป เห็นมีคนตั้งแถวอยู่หลายกลุ่ม คาดว่ามาจากหลายบริษัท,องค์กร ดูจากแผนที่ที่นัดเจอ อือม.. น่าจะเดินเข้าไปข้างในสวนลุม

มั่นใจมากกะน้องโต้งว่า ต้องไม่ใช่ตรงนี้แน่เลย เดินเฉี่ยวๆออกไปฝั่งถนน ปรากฏว่าได้ยินเสียงเรียกชื่อ อ้าว! ตั้งแถวกันตรงนี้จริงๆด้วย หลายๆคนถามว่า "จะเดินไปไหนเนี่ย" แกล้งๆบอกไปว่า แหะแหะ จะเดินไปเข้าห้องน้ำ

อากาศร้อนมากๆ 7 โมงกว่าเองอ่ะ แดดแบบนี้นึกว่า 9 โมง เมื่อได้เวลาตั้งแถว เดินเข้าไปในสวนลุมผ่านประตูมาได้นิดหน่อย ก็หยุดขบวนให้ตั้งแถวตรงนี้แหละ คือไม่ได้เดินไปไหนไกลหรอก ตั้งแถวรอรับเสด็จ สมเด็จพระเทพ จะมาเปิดงานเวลา 9:00 น. พวกเราไม่รู้จะทำไรกัน ก็เลยหลบแดดไปนั่งแถวสระน้ำ ถ่ายรูปไปพลางๆ

เจ้าหน้าที่ที่มาจัดขบวนแถวเนี่ยซิ ยิ่งแปลกกว่า เดี๋ยวบอกให้จัดแถว เดี๋ยวบอกให้หลบ สักพักก็ถอยจากเกาะกลาง แล้วก็ขึ้นมาที่เกาะกลาง ไม่รู้จะเอาไง lunar ก็เลยไม่อยู่ในขบวนแถวละ หลบร้อนดีก่า ภายหลังมารู้ว่า เจ้าหน้าที่ก็ไม่รู้ว่าเขาให้มาทำไรเหมือนกัน แล้วกัน เวงกำ

พอได้เวลาที่สมเด็จพระเทพจะเสด็จมาถึง พวกเราก็ตั้งแถวรอรับเสด็จ หลังจากรับเสด็จเสร็จ ก็ไม่ได้ไปไหน อยู่ที่เดิม รอส่งเสด็จอีกที โอ้ ตกลงมาทำไรเนี่ย
หลังจากส่งเสด็จเสร็จ 10 โมงกว่าๆ แต่ละคนยังไม่อยากกลับไปทำงาน ไปหาข้าวกินก่อนดีกว่า น้องเบียร์เสนอ สเต็กสีลมซอย 1 OK Let's go

กว่าจะสั่ง กว่าจะได้กิน นานมากก หิวกันจนตาลาย แถวนี้เปลี่ยนไปเยอะ (เมื่อก่อน lunar เป็นเด็กสีลมนะ)
เต็นท์ต่างๆที่ขายอาหาร เปลี่ยนเป็นตึกใหม่ๆ

กินข้าวเสร็จ บางคนจะกลับไปทำงาน อีกหลายคนอยากไปเดินซอยละลายทรัพย์ เราเลยต้องรับอาสาพาไป เนื่องจากเป็นคนที่เชี่ยวที่สุดแล้ว

อยากไปหาจิด้วยซิ จะไปดูว่า หลังจากออกจากที่ทำงานเป็นแม่ค้าที่ซอยละลายทรัพย์แล้วเป็นไงบ้าง พาน้องๆเดินลัดเข้าตึกยูไนเต็ด แถวนี้ก็เปลี่ยนไปอีกล่ะ เป็นคนนำเดิน แต่ไหงชักไม่ค่อยแน่ใจ

หลังจากพาน้องๆ วนรอบๆละลายทรัพย์ ขากลับได้เหรียญที่ระลึกในหลวงครองราชย์ 60 ปี 1 ชุด มี 2 ราคา คือ 10 บาท กับ 20 บาท แต่ขายในราคาชุดละ 60 บาท ซื้อมา 2 ชุดอ่ะค่ะ เก็บสะสมเป็นที่ระลึก แล้วก็ซื้อพายลูกตาล ดูน่ากินมากๆๆๆ

ถึง office เกือบบ่าย ด้วยอาการหมดสภาพจริงๆ ร้อนและเดินเยอะด้วย

Tuesday, June 13, 2006

เชื่อจมูกตัวเอง ดีที่สุด

วันนี้ตื่นเช้าก่อน 6 โมงอีกแน่ะ เหมือนวันไปทำงาน แต่วันนี้เป็นวันหยุดพิเศษอีก 1 วัน รวม 5 วัน วันนี้วันสุดท้ายแล้วนะเนี่ย โอ้ เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ
แต่เช้า เจอเรื่องไม่สู้ดี เล็กๆน้อยๆ แต่ทำให้รู้สึกหงุดหงิด บอกไม่ถูก เป็นบรรยากาศยามเช้าที่ไม่น่าอภิรมย์จริงๆ

เริ่มจาก ได้รับ message จาก DTAC บอกว่า
"Your credit will expire on 13-JUN-06. Please refill your account to extend your credit validity period."
อ้าว ก็วันนี้นี่นา ลองโทรไป *1001 กลับมีเสียงตอบรับ ทำนองว่า
"เสียใจค่ะ บัตรเติมเงินของคุณหมดอายุแล้ว ส่วน sim card จะหมดอายุวันที่ .... "

เพิ่งเติมเงินไป 400 บาท ไม่ค่อยได้ใช้เลยนะเนี่ย เสียดายอ่ะ ทุกครั้งก็จะเติมก่อนหมดอายุ หรือไม่ก็จะมี message มาเตือนก่อน 1 วัน คราวนี้ไม่มี

เรื่องต่อมา สืบเนื่องจากสงสัยว่าเจ้า Nokia 1600 ที่เพิ่งซื้อมาเนี่ย ทำไมเวลาคนอื่นโทรมา ถึงไม่โชว์ชื่อใน contact โชว์แต่เบอร์โทรศัพท์ หลังจากที่ลอง setting จนหมดแล้ว ก็ไม่สามารถแสดงชื่อใน contact ได้อ่ะ ไม่รู้ว่าเป็นเฉพาะโทรศัพท์เครื่องเราเครื่องเดียว หรือว่ารุ่นนี้ไม่สามารถแสดงรายชื่อได้ Oh! My God ไม่น่านะ โทรศัพท์รุ่นใหม่ๆเนี่ย ไม่สามารถแสดงชื่อได้ ตลกมากๆๆๆๆ

ลองเข้าไปสืบหาข้อมูลใน web ไม่มีใครพูดถึงเรื่องนี้ ถ้างั้นอาจเป็นที่เรายัง setting ไม่ถูก หรือไม่ก็เป็นที่เครื่องเราเครื่องเดียว ต้องไปสอบถามที่ร้านวันพรุ่งนี้ละกัน
ไม่ได้ข้อมูลที่ต้องการ แต่กลับได้ข้อมูลราคาของรุ่นนี้ มีหลายคนซื้อไปตั้งแต่เดือนเมษายน ในราคา 2500 กว่าๆที่มาบุญครอง โอ้ เราซื้อแพงกว่าชาวบ้านเขาตั้ง 300-400 บาท รู้สึกหงุดหงิดอีกล่ะ

เรื่องสุดท้าย เป็นเรื่องที่ทำให้เจ็บใจอยู่หลายวันมานี่ ก็คือเรื่องทองที่อุตสาห์ซื้อมาไว้ตั้งแต่ต้นปี เมื่อ 2 เดือนก่อน ยังเขียน blog หัวข้อ "วันนี้..ฉันมีความสุข" เรื่องสุขที่ราคาทองบาทละ 11400 บาท หลังจากนั้น ราคาทองก็พรุ่งพรวดๆๆๆๆ ไปจนถึง 12900 บาท

ก่อนที่ราคาทองไปจนถึง 12700 บาท ช่วงนั้นคิดว่า ถ้าราคาทอง 12500 บาท จะขายล่ะ ช่วงนั้นราคาขึ้นเร็วมากจริงๆ บางวันราคาเปลี่ยน 3-4 ครั้ง นักวิเคราะห์ทั้งหลายก็บอกว่า ราคาจะขึ้นไปอีก บ้างก็ว่า 13000 บ้างก็ว่า ไปถึง 15000 ก็มี

คิดแล้วก็สมน้ำหน้าตัวเองเหมือนกัน เห็นกำไรแท้ๆอยู่ตรงหน้า 23,500 บาท กลับไม่เอา มัวแต่เชื่อนักวิเคราะห์ รอราคาขึ้นไปอีก ไม่ได้เฉลียวใจเลยว่า ขึ้นเร็วแบบนั้น เวลาลงก็ลงเร็วเหมือนกัน นอกจากนี้ยังเจ็บใจหนักขึ้น เพราะดันไปซื้อทองอีก 5 บาท ที่ราคา 12750 บาท โอ้แม่เจ้า (โลภมากก็แบบนี้แหละ)

หลังจากนั้นแค่ 2-3 วันราคาพุ่งสูงสุด 12900 บาท ดีใจอยู่ได้วันเดียว ราคาก็ลงๆๆๆๆๆ มาเรื่อยๆๆๆๆ กองทุนเริ่มทิ้ง หลังจากปั่นราคาไปได้เกือบ 13000 บาท (ช่างเหมือนกับหุ้น ยังไงยังงั้น)
มาวันนี้ เปิดมาดูราคาทอง ราคารับซื้อคืน 11050 บาท ราคานี้คงที่มา 5 วันแล้ว แต่ราคาทองโลกตอนนี้ ต่ำกว่า 600 ดอลล่าห์แล้วอ่ะ ฮือ ฮือ จากกำไรที่มี เปลี่ยนเป็นขาดทุนแล้วอ่ะ

นี่และน๊า บทเรียนที่ได้ วันหลังอย่าไปเชื่อเลย นักวิเคราะห์เนี่ย ถึงกำไรจุดที่เราต้องการ ก็ขายดีกว่า แล้วก็ไม่ต้องไปดูมัน กำขี้ดีกว่ากำตด เชื่อจมูกตัวเองดีกว่า

ไม่เป็นไรหรอก ได้แต่ปลอบใจตัวเอง ขาดทุนทางบัญชี ยังไม่ได้ขายจริง รอปลายปีละกัน ยังไง ทองก็ยังเสี่ยงน้อยกว่า หุ้น
ทำได้แค่นี้แหละ

Sunday, June 11, 2006

อลังการ พลุไซโก้

วันนี้เย็นจะมีการจุดพลุที่สนามม้า นางเลิ้ง โดยบริษัท ไซโก้

lunar เคยดูพลุไซโก้มาแล้วครั้งหนึ่งเมื่อครั้งที่ ในหลวงทรงพระชนมายุครบ 5 รอบ เมื่อปี 2530 แต่ครั้งนั้น ไม่ได้ดูของจริงหรอกนะ ดูในทีวี คือตอนนั้นก็คิดว่า คงเป็นพลุธรรมดาๆ เลยไม่ได้ไปดูของจริง ทั้งๆที่ตอนนั้น บ้านก็ถือว่าอยู่ใกล้กับสนามม้า คือไม่ใช่ว่าใกล้มาก ก็นั่งรถเมล์ซัก 4-5 ป้ายก็ถึง ดูในทีวีถึงได้รู้ว่า สวยงาม แปลกตาจริงๆ

คราวนี้ พอได้ยินว่า มีการจุดพลุของไซโก้ และอีกอย่าง แต่ละชุดที่นำมาแสดงก็เป็นชุดที่ชนะการประกวดมาแล้ว วันนี้ยังไงก็ต้องไปดูของจริงให้ได้ แม้จะต้องเดินทางไกลก็ตามที

ตอนแรกกะว่าจะไปดูแถวๆบ้านเก่าที่เคยอาศัยอยู่ แต่พอมาถึงแล้ว ดูทำเล ไม่ค่อยเหมาะแหะ เดินทางต่อไปดูใกล้ๆดีกว่า เอาตรงบริเวณด้านนอกสนามม้าแล้วกัน ไม่เข้าไปข้างในหรอก คนเยอะ อีกอย่างข้างนอกเนี่ยก็เห็นแล้วล่ะ

รอจนถึง 2 ทุ่มเศษๆ ตำรวจจราจร เดินมาบอกให้ไปดูที่พระบรมรูปทรงม้า แต่ lunar ไม่ไปอ่ะ (ก็ไปอีกตั้งไกล เราต้องเชื่อมั่นในตัวเอง เข็ดจากเมื่อวันที่ 9 แล้วอ่ะ) อีกอย่างใกล้เวลาจุดพลุแล้วด้วย นั่งบนริมฟุตบาทนี่แหละ

ร๊อรอ รอแล้วรอเล่า ได้ยินประกาศว่า จะจุดเวลา 3 ทุ่ม 15 โอ้ อีกตั้งนาน งั้นฆ่าเวลาด้วยการจัดการกับ contact list ในโทรศัพท์มือถือไปพลางๆก่อนแล้วกัน

3 ทุ่มครึ่งแล้ว ฝนฟ้าก็ทำท่าจะตกมิตกแหล่ ฟ้าแลบ โอ้อย่าตกนะ
และแล้ว เวลาที่ทุกคนรอคอยก็มาถึง
อลังการมากๆๆๆๆๆ พลุแต่ละชุดใหญ่โตมากๆๆ สวยจริงๆอ่ะ มีลูกเล่นเยอะแยะไปหมด มีพลุรูป 60 กับ ๖๐ ด้วย ยิงในมุมต่างๆกัน

มีการวิ่งไล่ เรียงเป็นระดับๆๆ แล้วแตกเป็นพลุ พอยิงลูกแรก ลูกถัดไปก็สูงขึ้น ใหญ่ขึ้น ไปเรื่อยๆ
มีพลุรูปผีเสื้อ รูปแมว (มีหลายคนบอกเป็นรูปโดเรมอน) ดอกเบญจมาศ ดอกไม้อีกหลายๆชนิด แล้วก็มีเหมือนเป็นหิ่งห้อย มีคล้ายดาวเสาร์แบบวงแหวนล้อมรอบ แล้วก็อีกเยอะแยะ บรรยายไม่ไหว
พลุวันนี้ ประมาณ พันกว่านัด แต่เป็นพลุขนาดใหญ่ แต่ละนัดเยี่ยมมากๆ

ที่ที่ lunar ยืนอยู่ก็ถือว่าดี แต่ไม่ดีที่สุด ยังมีสายไฟบังอยู่ แต่พลุส่วนใหญ่จะสูงมากๆ สูงกว่าสายไฟ หรือว่าตอนนั้นไม่สนใจก็ไม่รู้ซิ สนใจแต่พลุ เวลายิงขึ้นไปแต่ละลูก lunar ก็ได้แต่ร้อง อู้ฮู อู้ฮู (ไม่รู้ตัวเลยอ่ะ อิอิ) ตรงนี้อาจถ่ายภาพไม่สวยมาก (ก็เพราะอาจติดสายไฟเนี่ยแหละ) แต่ถ้ายืนดูเฉยๆ ละก้อ OK เลย วันนี้ lunar ไม่ถ่ายรูป เพราะรู้ว่า ถ่ายไปก็งั้นแหละ ไว้ไปดูใน pantip แล้วกัน ก็เลยถ่ายเป็น clip video แต่เสียดาย ถ่ายไปได้แค่ 3-4 ชุด memory card ก็เต็มซะแล้ว คิดว่าถึงเวลาแล้วล่ะ ต้องเก็บเงินซื้อกล้องวีดีโอดีกว่า เสียดายชุดสุดท้ายเนี่ยซิ อลังการงานสร้างจริงๆ เหมือนพลุกระจายเต็มท้องฟ้า คล้ายต้นไทร สีทองอร่าม อือม.. บรรยายไม่ถูก งานนี้บอกได้คำเดียวว่า คุ้มค่าจริงๆ แม้จะต้องรอมานาน

ไม่มีรูปของตัวเอง ไว้ไปขอรูปจากเพื่อนๆใน pantip มาแปะให้ดูละกัน แต่ช่วงนี้คงต้องรอไปก่อน คิดว่า บรรดามืออาชีพกับมือสมัครเล่น คงเตรียมนำรูปเข้าประกวด หลังงานประกวด คงมีรูปสวยๆให้ดูเยอะแน่เลย

Saturday, June 10, 2006

นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติ์

นิทรรศการเฉลิมพระเกียรติฯ จัดขึ้นที่เมืองทองธานี ตั้งแต่วันที่ 26/05/06 จนถึงวันพรุ่งนี้ หลังจากที่ขยายเวลาเพิ่มขึ้นอีก 1 สัปดาห์

ขนาดขยายเวลาเพิ่มขึ้นแล้วเนี่ย วันนี้คนก็ยังเยอะอยู่ดี หลายวันนี้ ไปแต่ละสถานที่ที่มีแต่คนๆๆๆทั้งน้าน
วันนี้เป็นโอกาสอันดี ไปดูซะหน่อย ไหนๆบ้านก็อยู่ใกล้กับเมืองทองแล้วนี่นา

นิทรรศการจะจัดแสดงอยู่ใน 2 อาคารคือ อาคารชาเลนเจอร์ เป็นนิทรรศการพระราชประวัติ กับ อาคารอิมแพ็ค เป็นนิทรรศการพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวกับแนวพระราชดำริและทฤษฎีการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน ไปดูอาคารชาเลนเจอร์ก่อนดีกว่า

ไปถึง จุดแรกที่สะดุดตา หลายๆคนให้ความสนใจคือ การแสดงม่านน้ำเป็นภาพต่างๆ (Water Graphic Display) เป็นการแปลอักษรด้วยน้ำตก เช่นคำว่า "Long Live the King" "น้ำคือชีวิต" ภาพฝนตก ภาพเลข ๙ ภาพตราสัญลักษณ์เฉลิมพระเกียรติ์ 60 ปี ภาพเรือสุพรรณหงส์ เป็นการควบคุมการสั่งจ่ายน้ำด้วยคอมพิวเตอร์ เวลาน้ำตกลงมากระทบกับแสงไฟ เหมือนเพชรส่องประกาย สวยจัง lunar อัดเป็น clip video ไว้ดูแทนถ่ายรูปอ่ะ

เริ่มเข้าสู่ห้องนิทรรศการ lunar ขอนำข้อมูลเกี่ยวกับห้องนิทรรศการต่างๆมาให้อ่านกัน เผื่อใครที่ไม่ได้ไปจะได้อ่านประกอบ

นิทรรศการพระราชประวัติ
๑. สืบราชสัตติวงศ์
แสดงให้เห็นถึงการสืบราชสันตติวงศ์แห่งพระบรมราชวงศ์จักรี ตลอดจนพระอัจฉริยภาพของพระบูรพมหากษัตริยาธิราชเจ้าแห่งพระบรมราชวงศ์จักรีแต่ละพระองค์

ห้องนี้จะจัดแสดงโดยมีพระบรมฉายาลักษณ์และพระราชกรณียกิจของรัชกาลที่ 1-8 ก่อนที่จะถึงห้องนี้ มีการจัดแสดงภาพแสดงความสัมพันธ์ระหว่างในหลวงกับช้าง มีการแจกโปสเตอร์รูปช้าง มีภาพในหลวงเมื่อครั้งยังทรงพระเยาว์ให้ชมเล็กน้อย ถ่ายรูปไม่ทัน เพราะคนเยอะและเบียดกันมาก อยู่ในห้องขนาดเล็กชื่อว่า เย็นศิระเพราะพระบริบาล

๒. เมื่อครั้งทรงพระเยาว์
ห้องแสดงพระราชประวัติในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ตั้งแต่เสด็จพระราชสมภพ จวบจนเสด็จขึ้นเถลิงถวัลยราชสมบัติ เมื่อวันที่ ๙ มิถุนายน พ.ศ.๒๔๘๙ การจัดแสดงของเล่นส่วนพระองค์ด้วยเทคนิคการนำเสนอแบบ Halo Vision Di Cut ภาพนูนสูงขนาดใหญ่ พระตำหนักวิลล่าวัฒนา การแสดงพระบรมฉายาลักษณ์ เมื่อครั้งทรงพระเยาว์ที่หาดูได้ยาก
ห้องนี้เป็นห้องที่ lunar ชอบมากค่ะ เป็นห้องที่จัดแสดงภาพของในหลวงตั้งแต่เด็กๆ มีรูปหลายรูปที่ lunar ก็เคยเห็น แต่ก็มีอีกหลายรูปที่ไม่เคยเห็น นอกจากนี้ยังมีรูปพระบรมชนก รูปสมเด็จย่า พระพี่นาง พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลที่ 8 ครั้งยังทรงพระเยาว์ทั้งนั้น

๓. พระคู่พระบารมี
ส่วนการแสดงที่นำเสนอเรื่องราวเมื่อครั้งพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพบ ม.ร.ว.สิริกิติ์ กิติยากร จวบจนเข้าสู่พระราชพิธีราชาภิเษกสมรส เมื่อวันที่ ๒๘ เมษายน พ.ศ.๒๔๙๓ เป็นส่วนการแสดงที่โรแมนติกที่สุดด้วยบรรยากาศสวนดอกไม้ขนาดใหญ่พร้อมน้ำพุประกอบดนตรี
ห้องนี้เป็นห้องที่ให้บรรยากาศโรแมนติกจริงๆ มีภาพต่างๆระหว่างในหลวงกับราชินี มีทะเบียนสมรสระหว่าง ในหลวงกับองค์ราชินีให้ดูด้วยนะ หาดูได้ยากนะเนี่ย กลางห้องกับมุมห้องมีน้ำพุ มีเสียงดนตรีบรรเลงประกอบ

๔. พระปฐมบรมราชโองการ
ห้องมัลติมีเดียที่จัดแสดงภาพพิม์และจัดฉายวีดิทัศน์แสดงเหตุการณ์พระราชพิธีบรมราชาภิเษตามโบราณราชประเพณี เมื่อวันที่ ๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๔๙๓ อย่างเต็มรูปแบบ
lunar ไม่ได้ดูห้องนี้อ่ะ

๕. อัครศาสนูปถัมภก
การจัดแสดงพระราชกรณียกิจในฐานะองค์พุทธมามกะและเป็นองค์อัครศาสนูปถัมภก ทรงเอื้อเฟื้อดูแลศาสนาต่างๆที่เข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร จึงทรงเป็นศูนย์รวมใจของปวงชนชาวไทยในทุกศาสนา นิทรรศการ ๕ ศาสนาในพระบรมราชูปถัมภ์ การจัดแสดงภาพพระจริยวัตรอันงดงาม การประกวดสุนทรพจน์ ในหัวข้อ "ในหลวงกับศาสนาของฉัน" จากเยาวชนทั่วประเทศ


๖. เสด็จเยี่ยมราษฎร
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้น ทรงโปรดที่จะเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมราษฏรของพระองค์มาตั้งแต่เสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ แม้ในระยะนั้น ถนนหนทางไปมายังไม่สู้สะดวกนัก แต่ก็ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมเยียนพสกนิกรทั่วทุกภูมิภาพของประเทศ ตั้งแต่ พ.ศ.๒๔๙๘ และเสด็จพระราชดำเนินทรงเยือนมิตรประเทศอย่างเป็นทางการรวมถึง นิทรรศการภาพบนอาคารสถานีรถไฟจิตรลดาจำลอง และเทคนิคการฉายภาพสะท้อนรอบทิศทางแบบ Image Reflection

เสียดายจริงๆอ่ะ lunar ไม่ได้เข้าไปดู ทั้งๆที่ถึงรอบการแสดงแล้วนะ ตอนนั้นเวลา 12:40 คือไม่ได้อ่านโบชัวร์นี้ก่อน เลยไม่รู้ว่าข้างในมีอะไร นึกว่าเป็นวิดิทัศน์ ไม่รู้ว่านี่คือสถานีรถไฟจิตรลดาจำลอง ทั้งๆที่ตอนหลัง เที่ยวตามหา รถไฟนี่ตั้งนาน ถามประชาสัมพันธ์ก็ไม่รู้เรื่อง กลับมาบ้านถึงได้รู้ว่า ตัวเองพลาดไปซะแล้ว

๗. คนของแผ่นดิน
กล่าวถึงพระมหากรุณาธิคุณในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ก่อตั้งมูลนิธิอานันทมหิดลขึ้นเพื่อสร้างบุคลากรที่มีความรู้ความสามารถหลายท่านเพื่อเป็นกำลังสำคัญในการพัฒนาประเทศ
ส่วนนี้จะเป็นภาพ วีดีโอของประชาชน บุคคลที่ได้รับพระมหากรุณาธิคุณ

๘. พระอัจฉริยภาพ
แสดงออกถึงพระอัจฉริยภาพในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในด้านต่างๆดังนี้
ส่วนที่ ๑ จัดแสดงภาพจิตรกรรมฝีพระหัตถ์
จัดแสดงภาพถ่ายฝีพระหัตถ์
ส่วนที่ ๒ จัดแสดงเพลงพระราชนิพนธ์
ส่วนที่ ๓ พระอัจฉริภาพด้านกีฬาและงานช่าง
ส่วนที่ ๔ หนังสือพระราชนิพนธ์


ห้องนี้เป็นอีกห้องที่ lunar ชอบม๊ากมาก หลังจากชมแล้วถึงได้ประจักษ์ในความเป็นอัจฉริยภาพของพระองค์ท่านจริงๆ
ห้องภาพจิตรกรรมฝีพระหัตถ์ พระองค์ท่านทรงวาดรูปหลายรูปมากๆ ส่วนใหญ่แล้วจะทรงวาดราวๆปี 2506 - 2509 มีทั้งภาพบุคคล ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นรูปองค์ราชินี พระเทพ ฟ้าชาย ฟ้าหญิง มีทั้งภาพ Realistic,Impressionist, Abstract (จำๆเอาจากงาน lunar ไม่ค่อยรู้หรอกค่ะว่าแต่ละประเภทคืออะไร)

ห้องนี้ไม่อนุญาติให้ถ่ายรูป เพราะทุกรูปมีลิขสิทธิ์ ปรกติแล้วจึงไม่เคยเห็นรูปพวกนี้อ่ะค่ะ ใครมางานนี้ก็ถือว่าโชคดี ได้มีโอกาสชมภาพวาดของท่าน
ห้องภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ ห้องนี้ก็ไม่ให้ถ่ายภาพอีกเช่นกัน มีหลายๆภาพที่แสดงให้เห็นอารมณ์ขันของในหลวง เช่น ภาพถ่ายสุนัขคาบไปบ์ดีดเปียนโน มีหลายๆภาพเป็นภาพของฟ้าชาย ฟ้าหญิง พระเทพ ขณะยังเด็กอยู่ ซึ่ง lunar ก็ไม่เคยเห็นเช่นกัน

ห้องจัดแสดงพระราชนิพนธ์ ซึ่งในหลวงท่านทรงแต่งเพลงเป็นจำนวนมาก อีกทั้งยังเล่นดนตรีอีกหลายอย่าง เช่น แซกโซโฟน, เปียนโน ในงานจะมีการนำเนื้อเพลงทั้งหลายมาจัดแสดง และมีการเปิดเพลงให้รับฟัง


พระอัจฉริภาพด้านกีฬาและงานช่าง จัดแสดงโดยการตั้งโชว์เรือใบจำลอง super มด ที่เป็นกีฬ่าทางน้ำที่ทรงชื่นชอบ มีนิทรรศการเกี่ยวกับงานช่าง การต่อเรือมด, super มด ที่องค์ท่านทรงต่อเรือเอง

หนังสือพระราชนิพนธ์ ก็จะมี ติโต, นายอินทร์ผู้ปิดทองหลังพระ, พระมหาชนก โดยเฉพาะเรื่องพระมหาชนกเนี่ย ได้มีการนำฉบับการ์ตูนมาจัดแสดงให้ประชาชนได้อ่าน ตั้งแต่ต้นเรื่องจนจบเลยอ่ะ เจ๋งดี แต่ lunar ไม่ได้อ่านหรอกค่ะ เพราะเคยอ่านแล้ว

๙. เทิดไว้เหนือเกล้าชาวไทย
แสดงให้เห็นถึงความซาบซึ้งและจงรักภักดีของพสกนิกรชาวไทยที่มีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว พร้อมกิจกรรมที่เปิดโอกาสให้เประชาชนที่มาเยี่ยมชมงาน แสดงออกถึงความจงรักภักดีในรูปแบบต่างๆ กิจกรรมเขียนคำถวายพระพรบนใบไม้แห่งต้น "ใต้ร่มพระบรมโพธิสมภาร" ชมภาพถ่ายบนกำแพงแห่งความจงรักภักดี การถวายพระพรชัยมงคลในกิจกรรม "๖๓ ล้านไทยรวมใจถวายพระพรชัยมงคล"
lunar ได้เขียนคำถวายพระพรลงใบโพธิ์แล้วนำไปติดที่ต้นไม้ด้วยค่ะ รู้สึกปลาบปลื้มใจจริงๆน๊า

หมดจากอาคารชาเลนเจอร์ ไปดูต่อที่อาคารอิมแพ็ค ซึ่งจะเป็นนิทรรศการแนวพระราชดำริเกี่ยวกับการพัฒนาทรัพยากรธรรมชาติ หลักๆก็มี ป่าไม้ น้ำ ดิน และสุดท้ายจะเป็นแนวเศรษฐกิจพอเพียง
คุ้มค่าจริงๆ ก่อนกลับแวะซื้อ ถั่วแม็คคาดาเมียจากดอยตุง 2 ถุง 320 บาท สนับสนุนโครงการหลวงค่ะ

Friday, June 09, 2006

เรารักในหลวง : ดีใจที่เกิดเป็นคนไทย

และแล้ว ก็ถึงวันนี้ วันแห่งความปลื้มปิติของคนไทยทั้งประเทศ วันที่ในหลวงทรงครองราชย์ครบ 60 ปี ภูมิใจและดีใจที่เกิดเป็นคนไทยจริงๆ

office หยุดให้อีก 1 วัน เพิ่งประกาศเมื่อวานตอนบ่าย ตอนเย็นว่าจะไปดูพลุที่สวนเบญจกิตติ ตรงศูนย์ประชุมสิริกิติ์ เป็นพลุจากประเทศจีน

ตอนเช้า ดูโทรทัศน์แต่เช้า สถานีโทรทัศน์ถ่ายทอดสดบริเวณพระที่นั่งอนันตสมาคม พระบรมรูป เรื่อยมาถึงสะพานมัฆวาน ประชาชนใส่แต่เสื้อสีเหลือง เต็มพรึดไปหมด ยิ่งตอนที่ในหลวงเสด็จฯ ออกที่สีหบัญชร มีการถ่ายทอดในมุมสูง ประชาชนพร้อมใจกันไม่กางร่ม ทั้งๆที่แดดร้อนมากๆๆ ทำให้มองลงมาเห็นแต่สีเหลืองเหมือนดอกดาวเรือง แว๊บนึง นึกถึงภาพสวนดอกไม้ขนาดใหญ่สี่เหลี่ยมกลางจตุรัส ที่บรัสเซล แต่เมืองไทยเราจะเป็นประชาชนแทนดอกไม้ คล้ายภาพเล็กๆจำนวนมากที่มาต่อรวมกัน แล้วมองไกลๆได้ภาพใหญ่ภาพหนึ่ง

ประทับใจมากๆ ซาบซึ้งสุดๆ ยิ่งขณะที่พระองค์ท่านเสด็จยืนโดยมีพระราชินีท่านเคียงข้าง แล้วยิ้มเล็กน้อย โบกมือให้ประชาชน น้ำตาคลอๆ จริงๆนะ

คิดว่า วันนี้จะเป็นวันที่หลายๆคนคงจดจำไปอีกนานเท่านาน สำหรับ lunar ก็คงไม่มีวันลืม ได้เกิดเป็นคนไทย ใต้ร่มพระบารมี

วันนี้ทั้งวัน สบายๆ ชิลๆ เมื่อวานน้องปอนด์มาค้างที่บ้าน ไม่เจอมาหลายอาทิตย์แล้วล่ะ วันนี้ทั้งวันเอาแต่เล่นเกมส์ มาคราวนี้ได้ภาษาจีนมาหลายคำ เรียนจากการดู VCD ของฮั่นจื้อกง เด็กรุ่นใหม่ นอกจากภาษาอังกฤษยังไม่พอ ต้องรู้ภาษาที่ 3 ด้วย ที่โรงเรียนเปิดสอนแบบเรียนพิเศษ แต่สมัครไม่ทัน น้องปอนด์มุ่งมั่นตั้งใจมาก อยากเรียน แต่ทำไงได้ล่ะ คนเต็มหมดแล้วต้องรอปีหน้าโน้นแน่ะ ตอนนี้ก็อาศัย VCD ของ ฮั่นจื้อกง ไปพลางๆก่อน lunar ว่า ว่างๆก็จะเปิดมาดูเหมือนกัน ต้องศึกษาบ้างแล้วล่ะ

ตอนเย็นนั่งรถไฟฟ้าไปที่ศูนย์ประชุม ไปถึง 6 โมงเย็น คนเยอะมากๆ แม้ว่าเวลา ณ ขณะนี้จะห่างจากตอนจุดพลุจริง ก็อีก 2 ชั่วโมงครึ่ง ทางประชาสัมพันธ์ประกาศว่า มีสถานที่ที่ให้ชมพลุได้ 3 แห่ง คือสวนเบญจกิตติ ลาดจอดรถของโรงงานยาสูบ แล้วก็ ถ.รัชดาทางเข้าโรงงานยาสูบ พวกเราก็ลองเดินๆดูว่าจะไปดูที่ไหนกัน

จุดที่ใกล้ที่สุดก็ ลาดจอดรถของโรงงานยาสูบ ยังมีที่ว่างเหลืออยู่อีกพอสมควร มองสำรวจสถานที่แล้ว เอ..ต้นไม้เยอะจัง จะมองเห็นพลุมั๊ยเนี่ย แต่พลุยิงสูงนี่นา น่าจะมองเห็นนะ

หลังจากรอร่วมๆ 2 ชม. ทดลองถ่ายไปเรื่อยๆ ดูว่าจะใช้ mode ไหนถึงจะดีที่สุด (lunar ยังใช้กล้องไม่ค่อยเป็นอ่ะค่ะ แล้วส่วนใหญ่ก็ถ่ายแต่ auto แหะแหะ)

พอได้เวลาพลุเริ่มจุด โอ้ พระเจ้าช่วยกล้วยทอด ต้นไม้บังเต็มๆ พลุอยู่ต่ำกว่าที่คิดอ่ะ หลายๆนัดก็ต่ำจนมองไม่เห็นเลย พวกเราพลาดแล้วอ่ะ ตรงนี้เป็นมุมที่ไม่เหมาะเลย ไม่เข้าใจว่าทำไมผู้จัดงานจึงออกประชาสัมพันธ์ให้มาตรงนี้

พอพลุจุดไม่สูง คนข้างหน้าก็ลุกขึ้นยืน หลายๆคนที่ใช้ขาตั้งกล้องก็เริ่มโวย ข้างหลังก็ตะโกนกันใหญ่ ว่าให้นั่งลง หงุดหงิดอารมณ์บ่จอย นอกจากจะไม่ได้ดูพลุอย่างที่ตั้งใจ (รูปไม่ต้องพูดถึง ไม่สามารถถ่ายได้เลย) ยังมาเจอเหตุการณ์แบบนี้อีก

เสียดาย ไม่ได้ไปจองที่สวนเบญฯแต่แรก ได้แต่ยืนๆดู รู้สึกว่าวันนี้พลุธรรมดา ไม่ค่อยมีไรแปลกใหม่

หลังจากจบ โอ้โฮ คนเยอะมากๆๆ แต่ละคนมุ่งไปรถไฟฟ้าใต้ดิน ไม่สามารถกลับได้ แวะไปเดินห้องสมุดมารวยของตลาดหลักทรัพย์ คนเข้าไปกินน้ำ กินกาแฟ เข้าห้องน้ำ กันเต็มอีกละ

สุดท้าย ต้องเดินย้อนไปขึ้น BTS สถานีอโศก วันนี้เหนื่อย แถมไม่ได้ดูพลุสวยๆอีก ฝากไว้ก่อน กะว่าจะไปดูอีกครั้งวันที่ 11 ของบริษัทไซโก หลังจากที่ประทับใจเมื่อหลายปีก่อน

Tuesday, June 06, 2006

ขบวนเรือพระราชพิธีในวันที่ฝนตก

วันนี้มีการซ้อมขบวนเรือพระราชพิธี ก่อนวันซ้อมใหญ่วันที่ 9 แล้วก็วันแสดงจริง วันที่ 12 ดูดูแล้ววันนี้แหละเหมาะที่สุดที่จะไปดู เพราะวันที่ 9 วันซ้อมใหญ่ คนคงเยอะ อีกอย่างตั้งใจว่าจะไปดูพลุที่สวน ตรงศูนย์ประชุมแห่งชาติ

lunar ยังไม่เคยมาดูขบวนเรือจริงๆสักครั้ง ทุกทีก็ดูจากทีวี งานเฉลิมฉลองคราวนี้ ตั้งใจอยากมาดูของจริงสักครั้ง กระบวนพยุหยาตราทางชลมารค เนี่ยถือเป็นมรดกโลกด้วยนะ

ลางานครึ่งวัน เห็นฝนตั้งเค้ามาแต่ไกล อือม..ไม่เป็นไรน่า

ไปถึงท่าเตียน ลังเลอยู่ว่าจะข้ามฟากไปฝั่งวัดอรุณดีหรือเปล่า หลังจากดูสถานที่ อยู่ฝั่งนี้แล้วกัน เผื่อจะได้ถ่ายขบวนเรือที่มีฉากหลังเป็นวัดอรุณซะหน่อย

ลองเดินไปดูที่ท่าที่จะลงเรือ เผื่อเห็นวิวที่ดีกว่า ปรากฏว่า แค่ตรงสะพานเล็กๆเชื่อมระหว่างท่าเรือกับโป๊ะ หากใครต้องการยืนตรงนี้ เสียค่าบริการ 300 บาท โอ้แม่เจ้า อะไรจะขนาดนั้นอ่ะ

หลังจากที่รอมาร่วม 1 ชั่วโมง ลองกดรูปซ้อมๆดูก่อนด้วยกล้องใหม่เอี่ยม Fuji S5600 (ซื้อมาหลายวันแล้ว แต่เมื่อคืนเพิ่งแกะกล่อง) ลองถ่ายวัดอรุณ ไม่แจ่มแฮะ เพราะเมฆดำทมึน ดูเค้าแล้ว ฝนคงตกแน่เลย

วันนี้นับว่า คนไม่ค่อยเยอะ พอมีที่ให้ดูได้ และแล้ว ฝนก็ตกลงมา แรงขึ้นแรงขึ้น ยืนกางร่มใต้ต้นไม้ สักพัก เริ่มเปียกไปทั้งตัว (กล้องเก็บไปตั้งนานแล้ว ไม่งั้นเดี๋ยวได้ซื้อใหม่อีก)

ลังเลอยู่ว่าจะกลับบ้านดีมั๊ยนะ แต่ว่า อุตส่าห์ลางานมาแล้วนี่นา รอสักพัก ก็ได้ยินเสียงเห่เรือมาแต่ไกล ออกไปดูดีกว่า

และแล้วในที่สุด ก็ได้ดูขบวนเรือพระราชพิธีจริงๆ (แบบที่ไม่ต้องดูจากโทรทัศน์) แต่ดูจากฟากนี้ เรือจะอยู่ไกลไป จะให้ดีต้องอยู่ฟากโน้น จะเห็นเรือชัดกว่านี้

ฟังเสียงเห่เรือแล้ว อึ้งเลย ที่เขาพูดๆกันเนี่ย ต้องมาเห็นของจริง ถึงจะได้รู้ว่าเป็นยังไง เรือสุพรรณหงส์ สวยงามมากจริงๆ อือม.. ได้ยินมาว่า วันจริง ในหลวงไม่ได้นั่งอยู่ในเรือด้วยซิ แต่จะประทับอยู่กับพระราชอันคาตุกะจากประเทศต่างๆ จึงเรียกขบวนเรือพระราชพิธี ไม่ได้เรียกว่า ขบวนพระยุหยาตราทางชลมารค

หลังจากชื่นชมกับขบวนเรือพระราชพิธีแล้ว ฝนก็หยุด อ้าวไหงเป็นอย่างนี้ล่ะ
ได้แต่หวังว่า วันนี้ฝนตกแล้ว วันจริงฝนคงไม่ตกนะ

เสร็จจากการชื่นชมขบวนเรือแล้ว ปัญหาใหญ่คือตอนกลับบ้านเนี่ยซิ รถติดสุดๆๆๆ ต้องเดินๆๆๆด้วยรองเท้าที่เปียกปอน จะหาแท็กซี่หรือสามล้อ ก็ยากยิ่งกว่ากว่าหาทอง กว่าจะเรียกได้ นั่งไปแป็บเดียวก็ต้องลงมาเดินอีก กว่าจะไปถึงสถานีรถไฟฟ้าใต้ดินหัวลำโพงก็หมดสภาพจริงๆ แต่ก็นับว่าคุ้มค่าแล้วล่ะสำหรับวันนี้ แม้จะไม่ได้รูปเรือเลยสักรูปเดียว (ไว้ไปดูในพันทิปละกัน อิอิ)

Monday, June 05, 2006

เสื้อเรารักในหลวง

ช่วงนี้เสื้อสีเหลืองที่เกี่ยวกับในหลวง ทั้งเสื้อที่มีตราสัญลักษณ์ หรือเสื้อยืดทั่วๆไป ที่เขียนว่า "เรารักในหลวง" ขายดีมากจริงๆ ถึงกับขาดตลาด ราคาก็แพงขึ้นเรื่อยๆ เริ่มตั้งแต่ 150 บาท ไปจนถึง 500- 600 บาท หรือ มากกว่านี้ก็มี เป็นเรื่องปรกติ demand มาก supply น้อย ก็เป็นแบบนี้ล่ะ

lunar ยังไม่มีเสื้อสีเหลือง วันศุกร์นี้เป็นวันงานพระราชพิธีแล้ว ไปซื้อสักตัวดีกว่า ว่าแล้วกินข้าวเที่ยงเสร็จ ไปเดินแถว อสมท ละกัน

ไปถึง เกือบบ่ายสองแล้ว คนน้อยลงไปมาก มีอยู่ 2-3 ร้าน แวะๆดูๆ ส่วนใหญ่เสื้อสีเหลืองที่มีตราสัญลักษณ์จะหมดแล้ว ขายแบบวันต่อวัน คนขายบอกให้มาดูพรุ่งนี้ เหลือแต่เสื้อยืดธรรมดาแบบที่เขียน "เรารักในหลวง" มีเสื้อเด็กด้วย แต่เขียนว่า "หนูรักในหลวง" น่ารักดี

ตัดสินใจอยู่ว่า จะมาซื้อพรุ่งนี้แบบมีตราสัญลักษณ์ หรือ ว่าซื้อไปเลย อือม..ซื้อไปเลยดีกว่า พรุ่งนี้ไม่แน่นอน ไปกัน 3 คน ซื้อกันคนละตัว

ก่อนออกจากร้าน สังเกตุเห็นว่ามีกล้องของสถานีโทรทัศน์มาถ่ายทำอยู่ คุยๆแซวๆกันว่า สงสัย ช่อง 9 มาทำข่าว

กลับถึงบ้าน 3 ทุ่มกว่า วันนี้กลับดึก เพราะขากลับ รถเอ๋ไปเชี่ยวชนกับรถขนสินค้า 6 ล้อ กว่าจะรอประกัน กว่าจะตกลงกันได้ ก็ 2 ทุ่มกว่าละ

นั่งกินข้าวอยู่ มีคนโทรมาบอกให้เปิดคุยคุ้ยข่าว มีพวกเราไปออกรายการด้วย เป็นข่าวเกี่ยวกับราคาเสื้อที่สูงเกิน lunar รีบเปิดดู โอ๊ะโอ เห็นตัวเองด้วยอ่ะ อิอิ ตลกดี

(หมายเหตุ เช้าวันอังคาร ที่ office หลายคนทักด้วยล่ะ ว่าไปออกรายการมา แสดงว่า รายการนี้มีคนดูเยอะนะเนี่ย )

Sunday, June 04, 2006

กว่าจะได้ดู The DaVinci Code

และแล้วในที่สุดก็ได้ดู The DaVinci Code หลังจากที่อ่านหนังสือเล่มนี้มาได้ตั้ง 2 ปี ตอนอ่านก็อ่านด้วยความสนุกสนาน นึกภาพไปต่างๆนาๆ ช่วงนั้น กระแสของหนังสือเล่มนี้มาแรงมาก ได้ยินว่าจะสร้างเป็นภาพยนตร์ ก็นึกภาพหน้าตา พระเอก นางเอก ภาพของศาสตราจารย์ แลงดอน ที่คิดออก ก็นี่เลย แฮริสัน ฟอร์ด (ยังติดภาพจากเรื่อง อินเดียน่า โจนส์ อ่ะ)

กว่าจะได้ดู
เอาล่ะ พอหนังเข้าโรง วันที่ 18/05/06 ก็อยากไปดูนะ แม้ว่าจะเตรียมใจไว้แล้วว่า สร้างเป็นหนัง ไม่น่าสนุกเหมือนอ่านหนังสือ แต่คนที่อ่านหนังสือ บางกลุ่มก็มักจะเป็นอย่างนี้แหละ อ่านแล้วก็อยากดูหนังว่า ตัวหนังสือถ้าถ่ายทอดเป็นหนังแล้วจะเป็นยังไง ก็ขนาด Harry Potter ที่ว่าจะไม่ดู ไม่ดูแล้ว สุดท้ายก็ดูจบ 4 ภาคอยู่ดี

นัดกับเจ้าโต้งว่าจะไปดูด้วยกัน แต่แล้วก็มีเหตุ ช่วงนั้นโต้งโหมงานหนักมาก งานเร่งรัด ต้องทำเสาร์-อาทิตย์ เลิกดึกดื่นทุกวัน OK ไม่เป็นไร

สัปดาห์ต่อมานึกว่าจะได้ไปดู แต่แล้ว โต้งก็มาทำงาน เสาร์-อาทิตย์อีก เฮ้อ เห็นแล้วเหนื่อยแทน lunar จะไปดูก่อน ก็นะ.. บอกน้องไว้แล้วว่าจะไปด้วยกัน ก็เลยยังไม่ได้ดู

สัปดาห์ที่ 3 โต้งบอกว่าหนังออกจากโรงไปแล้ว ว๊า! อดดูเลยอ่ะ

เมื่อวานเข้าไปที่โรงปูน ขากลับตอนบ่ายๆผ่าน Major Hollywood แวะเข้าไปดูหน่อยดีกว่า เผื่อหนังยังไม่ออก
ปรากฏว่า ยังไม่ออกจริงๆด้วย แต่มีฉายแค่ 2 รอบ 11:00 กับ 22:00 โอ้ ถ้างั้นพรุ่งนี้มาดูรอบ 11:00 โมงละกัน

วันนี้ OK ได้ฤกษ์ล่ะ จะไปดูให้ได้ ไปถึงโรงหนัง ปรากฏว่า วันอาทิตย์มีฉายแค่รอบเดียวตอน 4 ทุ่ม โอ้ พระเจ้าช่วย กล้วยทอด สงสัยจะอดดูแล้วอ่ะ (เรานะเรา ทำไมไม่โทรมาถามก่อน จะได้ไม่เสียเวลา เพราะมัวแต่ไว้ใจข้อมูลใน web ก็ยังนี้แหละ)

เอาไงดี โทรสอบถามโรงหนังอื่นดีกว่า เผื่อจะยังมี แต่ไหงโทรไป Major Cineplex แต่ไม่สามารถติดต่อได้ซะงั้น (โทรไป 10 กว่า call อ่ะ)

กลับดีกว่า แต่เอ.. ลองแวะไป The Mall งามวงศ์วานดูซะหน่อยดีกว่า นั่งรถไปอีกไม่ไกลเท่าไร กลับบ้านเลยก็รู้สึกแบบว่า ผิดหวังเล็กๆ
และแล้วในที่สุด ก็ได้ดูจนได้ โชคดีจัง รอบ 12:30 น. ตีตั๋วเสร็จก็เข้าไปเลย

DaVinci Code - เป็นหนังสือที่อ่านสนุก แต่เป็นหนังที่..
lunar ไม่ขอเล่าเรื่องหรอกนะ เพราะถ้าจะเล่าเรื่องย่อ ต้องกลับไปเปิดหนังสือใหม่ แต่ดูหนังแล้ว บอกตรงๆว่า ออกจะน่าเบื่อ แต่อย่างว่าแหละ หนังสือแนวนี้ ตอนอ่านที่สนุกก็เพราะ เหมือนอ่านประวัติศาสตร์ เช่นที่มาของ ศุกร์ 13 ลัทธิต่างๆ (ซึ่งก็ไม่รู้ว่าจริงหรือเปล่า) แต่จะเอาพวกนี้มาบรรยายในหนัง มันก็จะเบื่อๆ
ในหนังสือ แต่ละครั้งที่มีการไขปริศนา อ่านแล้วอึ้ง ทึ่ง โอ้ คิดได้ไง เล่มนี้ อ่านไปได้กลางๆเรื่อง ก็พอจะรู้ว่า ใครเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง (แต่เรื่อง Angels & Demons ไม่รู้อ่ะ เดาไม่ถูก)

หลังจากที่ดูผลการโหวตแล้วก็พบว่า คนที่ไม่เคยอ่านหนังสือ ก็บอกว่า OK จนถึง ชอบเลยล่ะ แต่คนที่อ่านหนังสือแล้ว ก็ส่วนใหญ่จะไม่ชอบ --> เรื่องปรกติอยู่แล้ว

หนังเรื่องนี้ได้เรต PG13 แต่วันนี้เห็นมีคนพาเด็กไปดูด้วย ไม่น่าเลยน๊า เพราะมีหลายฉากที่รุนแรง เช่น ฉาก สิลาส ทรมานตัวเอง, โซนิแยร์ตาย, ฆ่าแม่ชี

ได้ยินข่าวมาว่า จะมีการนำ Angels & Demons มาสร้างเป็นหนัง เรื่องนี้น่าจะ OK กว่านะ สนุกกว่าด้วย เพียงแต่ จะไปถ่ายทำยังไง ทั้งวาติกันเอย ห้องสมุดวาติกันที่น้อยคนนักจะได้เข้าไป แล้ว CERN อีกล่ะ อีกอย่าง ฉากหลายฉาก ออกจะน่ากลัว เช่น การสังหารพระคาดินัล, การตายของ เวตรา อึ๊ย! สยอง