Saturday, July 26, 2008

ปลูกรักที่อัมพวา

ถ้าเอ่ยชื่อ อัมพวา หลายๆคนต้องนึกถึงตลาดน้ำ กับ หิ่งห้อยเป็นแน่แท้ สำหรับฉันก็เหมือนกัน ได้ยินชื่อมานานแสนนาน แต่ก็ยังไม่มีโอกาสได้ไปซะที

วันนี้มีที่บริษัทมีกิจกรรมปลูกรัก คราวนี้ไปกันที่ ดอนหอยหลอด อัมพวา แล้วก็อุทยาน ร.2 เป็นโครงการวันเดียวเที่ยวด้วยกัน ด้วยราคามิตรภาพ 300 บาท แล้วงานนี้ฉันจะพลาดได้อย่างไร

กำหนดการคือวันที่ 26/07/08 รถออกหน้าบริษัทเวลา 8 โมงเช้า ไปด้วยรถบัส 2 คันใหญ่ การเดินทางครั้งนี้มีคุณไกด์ชื่อ หน่อง เป็นผู้นำทัวร์สำหรับรถคันที่ 1 ตลอดทาง ไกด์หน่องก็จะอธิบายกำหนดการคร่าวๆของการเดินทางวันนี้ ประกอบกับประวัติเล็กๆน้อยๆของแต่ละสถานที่ สลับกับเล่นเกมส์บนรถ

ใช้เวลาเดินทางประมาณ ชั่วโมงเศษๆก็มาถึง ดอนหอยหลอด ที่นี่เหมาะสำหรับการมาหาของทะเลกินมากๆ เห็นกุ้ง ปู หอยหลอด แล้วอยากซื้อมานั่งกิน ปูเสื่อมันแถวๆริมชายเลนตรงนั้นซะจริง

เพียงแต่ว่า เขาให้เวลาที่นี่ประมาณ 45 นาทีเท่านั้น ตอนอยู่บนรถ ไกด์หน่องได้อธิบาย วิธีการจับหอยหลอดว่า ต้องใช้ปูนขาว หยอดลงรู แล้วหอยจะกระโดดขึ้นมาให้จับเอง แต่ว่าตอนไปถึงเนี่ยซิ ไม่เห็นอะไรเลย เพราะน้ำขึ้นมาซะสูง ไปเวลานั้น น้ำขึ้นเลยไม่ได้เห็นวิธีการจับหอยหลอดกัน

ก็ได้แต่ชิมหอยหลอด เอามาเสียบไม้ ไม้ละ 10 บาท มีประมาณ 4 ตัว เรียกว่าหอยฮานามิ (ไม่รู้เหมือนกันว่ามาจากอะไร) แล้วก็ชิม ลูกจากลอยแก้ว ซื้อกะปิเคยมาด้วย ลองชิมดูแล้วก็ ok ไม่เค็มมาก ส่วนอาหารทะเลนั้น วันหลัง ค่อยชวนเพื่อนๆขับรถมากินแล้วกัน

ใกล้ๆกันนั้น จะมี ศาลพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์ ก็เข้าไปทำการสักการะท่านด้วย ไหนๆก็มาถึงที่นี่แล้วนิ

ภายในศาลพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหลวงชุมพรเขตอุดมศักดิ์


ทหารรักษาพระองค์

:
ออกเดินทางกันต่อ โปรแกรมต่อไป จะไปอุทยานพระบรมราชานุสรณ์ พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย หรือ อุทยาน ร2

ภายในอุทยานจะมีสิ่งที่น่าสนใจหลายอย่าง เช่น พิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระพุทธเลิศหล้านภาลัย จัดแสดงอยู่ในอาคารทรงไทย แบ่งเป็นห้องต่างๆ ภายในจัดแสดงศิลปะโบราณวัตถุสมัยต้นรัตนโกสินทร์ ของที่ฉันเห็นก็จะมี กระดานชนวน หีบเหล็ก เครื่องอัดผ้า ตัวโขนเรื่องรามเกียรติ์ เครื่องดนตรี

เห็นว่ามีโรงละครกลางแจ้งด้วย แต่วันที่ไป ยังไม่เห็นการแสดงใดๆ เห็นแต่มีการฝึกซ้อมการเล่นโขน ส่วนใหญ่จะเป็นเด็กๆที่มาซ้อม แบ่งเป็นกลุ่มๆ


เด็กๆคอยต้อนรับอยู่ค่ะ

ออกจากอุทยาน ร2 ไปไหว้พระที่วัดอัมพวันเจติยาราม วัดแห่งนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 1 พระอุโบสถเป็นศิลปะสมัยรัตนโกสินทร์ตอนต้น ที่โดดเด่นเห็นจะเป็นพระปรางค์สีขาว ภายในอุโบสถแห่งนี้ มีจิตรกรรมฝาผนังที่สวยงามมาก ที่ขึ้นชื่อคือภาพมดผูกคอตาย ที่สะท้อนยุคสมัย IMF แล้วก็ภาพฝีพระหัตถ์ของสมเด็จพระเทพ โดยทรงร่วมงานศิลปะภาพจิตรกรรมด้านที่ติดกับทางเข้าอุโบสถ มีทั้งหมด 4 ตำแหน่งด้วยกัน(พระพักตร์,หมวก,กลอง,ต้นไม้)

ภายในอุโบสถ

ส่วนหนึ่งของจิตรกรรมฝาผนังภายในอุโบสถ

ภาพมดผูกคอตาย

ตำแหน่งที่ 1:พระพักตร์

ตำแหน่งที่ 2,3:หมวกและกลอง

ตำแหน่งที่ 4:ต้นไม้
:
ใกล้เที่ยงแล้ว เราจะไปกินข้าวเที่ยงกันที่ตลาดน้ำอัมพวา แต่วันนี้ไม่รู้เป็นไง มันอิ่มๆอืดๆ แต่เช้าแล้ว มาถึงถิ่นที่ของกินอร่อย แต่กลับกินได้ไม่ค่อยเยอะ เสียดายจัง

บริเวณริมน้ำ จะมีบริการลงเรือเที่ยว หลายบริษัทหลากหลายมาก กลางวันส่วนใหญ่จะล่องเรือไปเที่ยววัดต่างๆ ประมาณ 4 วัด ค่าเรือต่อคนก็ 50 บาท เหมาลำ ก็ประมาณ 600 บาทค่ะ

แต่ถ้ากลางคืน ก็ต้องชมหิ่งห้อย แต่ไม่ว่ากลางวันกลางคืน วันนี้ก็อดทั้งคู่ เพราะทัวร์เราไม่มีเวลามากขนาดนั้น

นอกจากบริการล่องเรือเที่ยวแล้ว ก็มีโฮมสเตย์เปิดจำนวนมากมาย ไว้วันหลัง มาเที่ยวดูหิ่งห้อยกับค้างโฮมสเตย์ ก็น่าจะดี

วันนี้ ได้แต่เดินเที่ยวชมบรรยากาศริมน้ำ ซื้อของฝากซะหน่อย ไกด์หน่องบอกว่า ให้ลองซื้อชิม ขนมกุหลาบชาววัง เพราะหากินยาก เป็นของชาววัง หน้าตาเป็นแบบนี้ค่ะ
ขนมกุหลาบชาววัง

ขนมไทย

ขนมไทยหลากหลาย

ชิมแล้วก็คล้ายๆกับ ขนมอาลัว ค่ะ ส่วนขนมเทียนสลัดงา หน้าตาก็ประมาณนี้ อร่อยดีค่ะ

ขนมเทียนสลัดงา
พวกเราทานอาหารเที่ยงกันที่นี่ แต่ฉันอิ่มอร่อยกับขนมไทยๆและบรรยากาศโดยรอบมากกว่า

ตุ๊กตาดุ๊กดิก ต้องกดที่ฐานข้างใต้ แล้วลำตัวจะหดลงมา

ร้านขายภาพวาด สีน้ำ รับวาดภาพเหมือนด้วย

ขนมไทย package จ๊าบมากค่ะ
:
ออกจากตลาดน้ำ สถานที่สุดท้ายที่จะไปในวันนี้ ก็คือ อุทยานหุ่นขี้ผึ้งสยาม อุทยานนี้อยู่ที่ อ.บางแพ จ.ราชบุรี

ภายในอุทยาน จะมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่ง โดยจะจัดแสดงให้เดินวนรอบๆเริ่มตั้งแต่

อาคารเชิดชูเกียรติ ข้างในจะมีรูปปั้นหุ่นขี้ผึ้งไฟเบอร์กลาส ของบุคคลสำคัญของไทย และต่างประเทศ เช่น
- มล. ปิ่น มาลากุล
- ศาสตราจารย์สัญญา ธรรมศักดิ์
- ดร.ป๋วย อึ้งภากรณ์
- อาจารย์ มนตรี ตราโมท
- สืบ นาคะเสถียร
- แม่ชีเทเรซ่า
- ประธานาธิบดี โฮจิมินห์
- เหมาเจ๋อตุง และ เติ้งเสี่ยวผิง

ตามความเห็นของฉันนะ ฉันว่า หุ่นไฟเบอร์กลาส ยังมีความเหมือนไม่เท่ากับหุ่นขี้ผึ้งค่ะ แต่อย่างว่า หุ่นขี้ผึ้งอาจจะไม่เหมาะกับอากาศร้อนแบบเมืองไทย ไฟเบอร์กลาสก็คงเหมาะสมแล้ว

อีกอย่างเรื่องของการจัดวาง ฉันว่า น่าจะทำทางเดินให้นักท่องเที่ยวเดินโดยไม่สามารถเข้าไปแตะต้องตัวหุ่นได้ เหมือนกับที่ฉันไปดูหุ่นขี้ผึ้งที่เมืองจีน ที่นั่นจะทำการจัดแสดงเป็นห้องๆ แสดงเรื่องราวต่างๆ โดยผู้ชมจะเห็นแต่เพียงภายนอก ไม่สามารถเข้าไปสัมผัส แตะต้องได้ แต่ที่นี่ แม้จะมีคำเตือนต่างๆ แต่ก็ยังมีนักท่องเที่ยว เข้าไปสัมผัสกับหุ่นอยู่ดี

ฉันได้ทำท่าหลายๆอย่าง ถ่ายรูปกับหุ่นบุคคลสำคัญหลายท่าด้วยกัน (อิอิ พอดีมีคนแอ็คท่าอยู่ก่อน ฉันเห็นแล้วก็ว่าเข้าท่าดี) แต่ไม่ได้แตะต้องตัวหุ่นนะ เช่น ท่ามองท่านโฮจิมินห์เขียนหนังสือ ท่ายืนเคียงข้างแม่ชีเทเรซ่า สักการะพระเจ้า ท่ายกน้ำชาเคารพท่าน เหมาเจ๋อตุงกับท่านเติ้งเสี่ยวผิง ก็ได้บรรยากาศอีกแบบ

ท่านโฮจิมินห์

แม่ชีเทเรซ่า

ท่านเหมาเจ๋อตุงกับท่านเติ้งเสี่ยวผิง

ออกจากอาคารเชิดชูเกียรติ ไปลานพระสามสมัย ก็จะมีสมัยอยุธยา สุโขทัย เชียงแสน ต่อไปก็เดินเข้าชมถ้ำชาดก ข้างในมีหุ่นขี้ผึ้งแสดงเรื่องราวของพระเวสสันดร คติธรรมเรื่องการให้ โดยมีตัวชูโรงคือ ชูชก ในถ้ำชาดกนี้จะมี ชูชกอยู่ทุกฉาก เขาปั้นชูชกได้น่าเกลียดจริงๆ (อุ๊บ ขออภัยค่ะ) ยิ่งเห็นตุ่มตามตัวตะปุ่มตะป่ำทั้งตัวด้วยแล้ว




ฉันถ่ายรูปในห้องนี้มาเกือบหมด ยกเว้นรูปสุดท้าย น่ากลัวอ่ะ รูปชูชกท้องแตก โหทำได้น่าสะอิดสะเอียน เลยไม่ได้ถ่ายรูปมา เพราะคิดว่า แม้ถ่ายมาก็คงไม่คิดจะดูหรอก

ออกจากถ้ำชาดก ไปชมกุฏิพระสงฆ์ โดยจะมีแบ่งเป็นภาคๆ ฉันเข้าดูแค่ภาคกลาง ภายในจะมีหุ่นขี้ผึ้งของสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) วัดระฆังโฆสิตาราม กรุงเทพฯ และ สมเด็จพระอริยวงศาคตญาณ (อยู่ ญาโณทัย) วัดสระเกศ กรุงเทพฯ ส่วนภาคอื่นๆ ไม่ได้เข้าไปชม

สุดท้าย ไปดูบ้านไทยสี่ภาค ไปเดินดูชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยสมัยก่อนทั้งสี่ภาค คราวนี้ได้เดินเที่ยวครบทั้งสี่ภาค

ภายในจะมีการจัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ที่สะท้อนถึงวิถีการดำเนินชีวิตของคนแต่ละภาค และก็มีหุ่นไฟเบอร์กลาสจำลองชีวิตคนไทย เช่น พ่อแม่ปู่ย่าตายาย เด็กๆ

ทัวร์วันเดียวจบแล้วค่ะ เสียดายใช้เวลากับแต่ละสถานที่น้อยไปหน่อย ไปวันนี้ อากาศก็ไม่ร้อนมาก มีแดดรวมกับฝนตกปรอยๆทั้งวัน ไว้คราวหน้า ถ้ามีโอกาสอยากมาเอง จะได้ใช้เวลาแต่ละสถานที่ได้นานกว่านี้ค่ะ

Thursday, July 17, 2008

ชุมชนกุฎีจีน


เมื่อวานเพิ่งกลับจากดู We Will Rock You วันนี้วันหยุดอาสาฬหบูชา แต่ไหนเลยเราจะอยู่แต่ในคอนโด ไปตระเวนเที่ยวดีกว่า

วันนี้ตั้งใจแล้วว่า จะไปเที่ยวที่ชุมชมกุฎีจีน หลังจากเคยตั้งใจไว้ว่าจะไปเมื่อปีที่แล้ว หาข้อมูลก็แล้ว วันนี้จะไม่พลาดแน่

นั่งรถสาย ปอ 529 จากหน้าบ้านตามข้อมูลของ ขสมก ที่ให้ไว้ จุดหมายปลายทางคือ โรงเรียนศึกษานารี รถวิ่งไปถึงสะพานพระปกเกล้า ลงป้ายแรกเลย ข้ามสะพานไป ก็เห็นแล้ว รร.ศึกษานารี

เห็นป้ายบอกทางไปวัดกัลยาฯ เดินเลี้ยวตามไป สอบถามคนแถวนั้นก็แน่นอน ตรงไปไม่ผิดแน่

เดินมาประมาณ 600 เมตร ก็เจอป้ายเลี้ยวไปโรงเรียนซางตาครูส ใช่แน่เลยมาไม่ผิด

เดินเข้าซอยมาอีกประมาณ 200 เมตร เริ่มเห็นแล้ว โบสถ์ซางตาครูส เหมือนในรูปที่เห็น

ฉันสังเกตว่า ที่นี่ค่อนข้างเงียบ ฉันไม่ได้หมายความเพียงแค่ โบสถ์ เท่านั้น แต่ตลอดเส้นทางที่เดินมาตั้งแต่ถนนหลัก เข้ามาในซอยนี้ ไม่ค่อยมีผู้คนเดินผ่านไปมาเท่าไร นี่ขนาดมากลางวัน แดดเปรี้ยงขนาดนี้ ยังให้ความรูสึกโหวงเหวงชอบกล

ตรงหน้าปากซอยที่เข้ามานั้น เมียงมองเห็นร้านอาหารอยู่ 2-3 ร้าน ดูแล้วก็สะอาดน่านั่ง เล็งๆไว้ก่อน ถ้าข้างในไม่มีร้านอาหาร เดี๋ยวมื้อกลางวัน ออกมากินที่ร้านแถวนี้ละกัน

หลังจากเห็นโบสถ์ไกลๆแล้ว เดินมาอีกประมาณ 50 เมตรก็จะมีซอยเขียนว่า ชุมชมกุฎีจีน อือม.. ใกล้ความจริงแล้วละเนี่ย

เดินเข้าไปประมาณ 200 เมตร ก็จะป้ายบอกว่า ชุมชนกุฏีจีน ข้างหน้าที่เห็น ก็โบสถ์ซางตาครูส



อากาศร้อนมาก แถวนี้ไม่มีใครเลย อ้อ เพิ่งนึกออก วันนี้วันหยุดนี่นา

เห็นชาวบ้านคนหนึ่งออกมายืนหน้าประตู ก็เลยสอบถามเรื่องขนมกุฎีจีนอันเลื่องชื่อว่า จะไปหาซื้อได้ที่ไหน พี่ผู้ชายบอกว่า ที่บ้านเขาก็ทำขาย















ก็เลยเดินตามไปแล้วก็พบว่า ที่บ้านเขาเป็นแหล่งทำขนมกุฎีจีน มีชาวบ้านกำลังทำอยู่ 2-3 คน ฉันก็เลยขอถ่ายรูปเก็บไว้ก่อน แล้วบอกว่า ขากลับจะแวะมาซื้อ

ออกไปถ่ายรูปโบสถ์ซะก่อน แดดเปรี้ยงแบบนี้ รูปน่าจะ ok นะ

เดินแวะเข้าซอย กุฎีจีน 7 มีบ้านหลังหนึ่ง ตกแต่งหน้าบ้านซะน่ารักเชียว ประตูบ้านเป็นสีฟ้าสดใส ข้างหน้ามีสวนเล็กๆ ประดับด้วยตุ๊กตาดินเผา รูปเด็ก ปลา ฯลฯ


เห็นป้ายบอกทางไปบ้านขนมฝรั่งกุฎีจีน อยู่ในซอย 7 เดินตามทางไปเรื่อยๆ ในที่สุดก็เจออีกร้านหนึ่งกำลังห่อขนมอยู่

แต่ดูท่าทางเจ้าของร้านไม่ค่อยเต็มใจรับแขก หรือว่า ลูกค้าขาประจำเขามีพอแล้วก็ไม่ทราบ พูดแบบมะนาวไม่มีน้ำ โดยแทบไม่มีฉันเลย ทำนองว่า ตอนนี้ขนมแบบใส่หน้าหมดแล้ว มีแต่ขนม.. ถาดเล็ก.. เท่านั้น

ฉันเมียงๆมองๆอยู่ครู่หนึ่ง ไม่พูดอะไรเหมือนกัน แล้วก็เดินออกมา ไม่ซื้อก็ได้ ไปซื้อร้านแรกก็ได้
:
สุดท้ายฉันก็มาแวะร้านแรกที่เข้าไป แล้วก็ถามเจ้าของร้านว่า จะขอชิมขนมหน่อยได้มั๊ย เพิ่งเห็นทำร้อนๆขึ้นมา น่าอร่อย
ชิมได้ไม่หมดทั้งอันหรอก เหลืออยู่อีกครึ่ง แล้วก็ซื้อมา ขนมขาย 4 ชิ้น 25 บาท ฉันก็เลยซื้อมา 4 ถุง 100 บาท ไว้ไปฝากที่ทำงานกับที่บ้านน่าจะพอนะ

นั่งคุยกับป้าที่ทำขนม สอบถามว่า ปรกติที่นี่เขาจะโบสถ์ให้เข้าไปชมข้างในหรือเปล่า ป้าบอกว่า เปิดให้วันอาทิตย์ แต่ถ้ามาเป็นหมู่คณะ จะขอให้เปิดก็ได้นะ พร้อมกับเน้นย้ำว่า ข้างในโบสถ์สวยมาก

อือม... ฉันก็ลืมไป วันอาทิตย์เป็นวันที่ชาวคริสต์จะมาโบสถ์นี่นา ไม่เป็นไร ไว้วันหลังก็ได้
:
ออกจากชุมชนกุฎีจีน จุดหมายต่อไปไปวัดกัลยาฯ เห็นแล้วว่าอยู่ตรงไหน

วันนี้เป็นวันอาสาฬหบูชา ก็เลยมีประชาชน รวมทั้งนักท่องเที่ยว มาทำบุญ ไหว้พระ ที่วัดกันมาก ที่นี่จะมีหลวงพ่อโต ซำปอกง พระประธานองค์ใหญ่มาก เป็นที่สักการะของชาวพุทธ

หอระฆัง


วัดกัลยา ณมิตร

ฉันไหว้พระขอพร พร้อมกับเซี่ยงเซียมซี ซะหน่อย ไหนๆก็มาวัดแล้วนี่


หลวงพ่อโต

ที่วัดนี้ จะมีคนมาขอทำบุญทำทานค่อนข้างเยอะ ฉันไหว้พระเสร็จ ก็เดินไปทางท่าน้ำ ว่าจะไปเลี้ยงอาหารปลาซะหน่อย ก็จะมีทั้งเด็ก คนแก่ มาขอทานเยอะจัง

สุดท้ายก็ไม่ได้เลี้ยงปลา เพราะอยากซื้อขนมปัง ราคา 10 บาท แต่คนขายบอกว่าหมด มีแต่อาหารเม็ด ราคา 20 บาท คนขายบอกว่า ทำบุญวัดค่ะ

ไม่ดีกว่า ถ้าฉันจะทำบุญ ก็เดินไปทำบุญดีกว่า ซื้อแบบนี้ ไม่รู้ว่าเงินจะเข้าวัดจริงหรือเปล่า

วันนี้ ก่อนเดินเข้าวัด ก็เห็นมีการเชิดสิงโต อยู่ด้านนอก ก็เลยค่อนข้างจะเชื่อว่า จุดหมายต่อไปของฉันคือศาลเจ้าแม่กวนอิม ต้องอยู่แถวนี้แน่นอน

นั่งกินน้ำให้หายเหนื่อยซะหน่อย (กลับบ้านวันนี้ต้องตัวดำแหง แดดแรงมาก) แล้วก็สอบถามป้าเจ้าของร้าน ก็ได้ความว่า เดินลัดเลาะเข้าซอยนี้อีกนิดเดียว ก็ถึงแล้วล่ะ

พอมาถึง อือม.. วัดเจ้าแม่กวนอิมแห่งนี้ ดูสงบจังอ่ะ ตรงข้ามกับ วัดกัลยา เลย ที่นี่ไม่ค่อยมีใครมาแหะ แต่ดูสงบร่มรื่น สะอาด
ศาลเจ้าแม่กวนอิม (กวนอันเก๋ง)

บรรยากาศดีอ่ะ ยิ่งอยู่ติดริมแม่น้ำเจ้าพระยา แถมด้านหน้าวัดมีทางเดินเล็กๆ เลียบแม่น้ำ มีม้านั่งรับลม ฉันว่า ตอนเย็นๆค่ำๆ บรรยากาศต้องดีแน่ๆ

บรรยากาศหน้าวัด

ฉันถ่ายรูปได้แต่ด้านหน้าเท่านั้น ด้านในเขาไม่ให้ถ่ายรูป ฉันว่าศาลเจ้าแห่งนี้ จัดได้ลงตัวทีเดียว ดูเก่าแก่ แต่ไม่น่ากลัว และสะอาดเป็นระเบียบเรียบร้อยมาก

หลังจากนมัสการเจ้าแม่กวนอิม พร้อมกับเซี่ยงเซียมซี ตามระเบียบแล้ว ก็ขออำลา เพราะจะไปต่อสถานที่แห่งอื่น

วันนี้ได้มา 3 สถานที่ ทั้ง โบสถ์ วัด ศาลเจ้าแล้ว อีกแห่งหนึ่งตามข้อมูลที่ฉันได้มาคือ มัสยิดบางหลวง

สอบถามคนแถวนั้น ต้องเดินจากวัดกัลยาไปประมาณ 700 เมตร อือม.. ไหนๆก็มาแล้ว ไปเที่ยวให้ครบละกัน

ฉันเดินไปเรื่อยๆ ถามคนแถวนั้น จริงๆก็เดินไปนาน ก็เจอ ชุมชนกุฎีขาว มีป้ายบอกทางไป มัสยิดบางหลวง

ฉันเดินเข้าซอยไป เป็นซอยชุมชนกุฎีขาว เดินไปจนเกือบสุดซอยแล้วล่ะ แต่ฉันรู้สึกแปลกๆ เหมือนคนแถวนี้ จะมองฉันด้วยสายตาแปลกๆ ด้วยรู้ว่า ไม่ใช่คนแถวนี้ เป็นนักท่องเที่ยว หรือใคร มาทำอะไรแถวนี้

ฉันก็เลยรู้สึกอึดอัด แปลกถิ่น อีกอย่างไม่แน่ใจว่า มัสยิดเนี่ย ถ้าเราไม่ใช่อิสลาม เขาจะให้เข้าไปหรือเปล่า อย่ากระนั้นเลย ไว้วันหลังมากันหลายๆคน ค่อยเข้าไปละกัน สำหรับวันนี้ 3 วัฒนธรรมก็พอแล้ว
:
บ่ายกว่าแล้ว เดินซะเหนื่อยเลย สุดท้ายมื้อกลางวัน ก็มาที่ร้านที่ได้เล็งไว้แต่เช้า ชื่อร้านมะนาวหวาน เห็นหน้าร้านมีเมนูบอกว่ามีอาหารจานเดียวหลากหลาย ทั้งสเต็ก แล้วก็กาแฟสด

ร้านดูน่ารักดี ที่สำคัญติดแอร์ด้วย เหมาะกับบรรยากาศบ่ายๆของวันนี้ที่ซู้ด

ฉันสั่ง สุกี้กุ้ง ผ่านไปเกือบ 20 นาที ทั้งๆที่ทั้งร้านมีฉันเป็นลูกค้าอยู่คนเดียว หลังจากกินแล้วก็เอ่อ.. กำลังคิดว่า ที่ฉันเป็นลูกค้าคนเดียวตอนนี้ เพราะว่ามันเลยเวลาอาหารกลางวันมาแล้ว หรือว่ารสชาติของอาหารกันแน่

แต่สุดท้ายก็ยังไม่เข็ด อยากสั่งกาแฟสดมากิน เอานะ ลองให้โอกาสอีกครั้ง สั่งคาปูร้อนมากินซะแก้ว

นี่ละน๊า ไม่ยอมเชื่อสัญชาติญาณของตัวเอง ผิดครั้งแรกยังให้อภัย ผิดครั้งสองเนี่ย... ไม่รู้จะบอกว่าไง คือรสชาติกาแฟที่กินเนี่ย ไม่ได้กลิ่นกาแฟแม้แต่น้อย เหมือนจะมีแต่นมกับปลายหางของกาแฟอ่ะ

เฮ้อ.. วันนี้เหนื่อยจัง น่าจะเป็นเพราะเพลียแดด ตอนแรกกะว่า จะไปเที่ยวพิพิธภัณฑ์มิวเซียมสยามแถวท่าเตียนต่อ แต่ไม่ไหวล่ะ ไว้วันหลังแล้วกัน ยังไงซะวันนี้ก็ได้เที่ยวสมใจอยากแล้ว

Wednesday, July 16, 2008

We Will Rock You



เมื่อสัปดาห์ก่อน นึกยังไงไม่รู้ อยู่ๆก็เกิดอยากดูละครเวที We Will Rock You ทั้งๆที่ไม่เคยฟังเพลงของควีนเลย จะมีบ้างก็เคยได้ยินเพลงดังระดับโลกอย่าง We Will Rock You , We are The Champions ก็เท่านั้นเอง แต่แบบว่า ครั้งล่าสุดที่เคยดูละครเวที ก็ประมาณ 16 ปีมาแล้ว มาครั้งนี้ ก็เลยคิดว่า เอาน่ะ ลองดูหน่อย ละครเพลง rock ระดับโลกเชียวนะ

ก็เลยตัดสินใจเดินดุ่ยๆ เข้าไปซื้อตั๋วที่เมืองไทยรัชดาลัย ราคา 1000 บาทเต็มๆ ไม่มีส่วนลด แต่ไหงพอรูดบัตรไป เป็นจำนวนเงิน 1010 บาท ซะนี่ เจ้าหน้าที่ขายตั๋วบอกว่า จ่ายด้วยเงินสดก็เก็บ 10 บาทเหมือนกัน (กำลังงงๆอยู่ เลยไม่ได้ถามว่า เป็นค่าอะไรเนี่ย)
จองวันพุธที่ 16 รอบ 1 ทุ่มครึ่ง วันที่ไปซื้อเนี่ย เขาบอกว่า บัตรเข้าชมการแสดงหมด ให้ตั๋วกระดาษไปก่อน แล้วให้มาแลกบัตรจริงวันแสดงเลย

และแล้วก็มาถึงวันนี้ เนื่องจาก เมืองไทยรัชดาลัย อยู่ใกล้ที่ทำงานขนาดนี้ เดินไปแบบชิวๆแป๊บเดียวก็ถึง แต่อย่ากระนั้นเลย วันนี้เลิกงานแล้วไปเลยดีกว่า

เตร็ดเตร่อยู่อีก 2 ชั่วโมง หาอาหารเย็นแบบง่ายๆกิน กับ หาหนังสือที่ห้องสมุดตลาดหลักทรัพย์ ชั้น 3 อ่านไปพลางๆฆ่าเวลาแล้วกัน
พอได้เวลาก็เข้าไปดีกว่า
:
เพิ่งเคยมาครั้งแรกนะเนี่ย ฉันต้องขึ้นไปชั้น 2 ก็ฉันมันพวกคนไฮโซ ก็ต้องนั่งที่สูงเป็นธรรมดา อิอิ

โรงละครแห่งนี้ เพิ่งสร้างใหม่มาประมาณ 2-3 ปี ชั้นล่างน่าจะมีที่นั่งมากกว่าชั้นบน เบาะนั่งก็พอสำหรับฉัน แต่ฉันว่า ถ้าชาวต่างชาติตัวใหญ่หน่อย คงอึดอัดน่าดู

อีกอย่าง ช่องว่างระหว่างที่นั่งแถวหน้าฉัน กับแถวฉันมีนิดเดียวเท่านั้น เข่าแทบจะติดเบาะหน้าเลยทีเดียว ปัญหาคือ ไม่สะดวกอย่างมาก ถ้าผู้ชมที่นั่งตรงกลางๆมาสาย เพราะไม่สามารถเบี่ยงตัวหลบให้เดินไปได้ (ทำได้แต่ไม่สะดวก) ต้องลุกขึ้นยืนให้เดินผ่านไปก่อน ลองคิดดูซิว่า ถ้ามีหลายๆคน หลายๆครั้ง ต้องคอยลุกขึ้นยืน ก็ไม่ไหว

รอจนเกือบๆใกล้แสดงแล้ว ดูๆไหงคนมันโหรงเหรงจัง

การแสดงที่นี่ เป็นอย่างที่ฉันคิดไว้เลย พอถึงเวลาทุ่มครึ่งตรงเป๊ะ ก็เริ่มแสดงทันที

การเปิดเวทีครั้งแรกดูใหญ่โต อลังการ กระหึ่มไปด้วยวงดนตรีขนาดใหญ่ พร้อมเทคนิคการแสดง ก็นับว่าสร้างความประทับใจแรกเริ่มกันเลยทีเดียว


ใครที่ฟังภาษาอังกฤษไม่ออก โรงละครก็มี subtitle ให้ แต่อยู่ด้านข้างของเวที มี 2 ด้าน ทำให้เวลาอ่าน subtitile ค่อนข้างลำบาก เพราะต้องเลื่อนสายตาไปข้างซ้ายหรือขวา กว่าจะเลื่อนกลับมาตรงกลางเวทีอีกครั้งเพื่อดูนักแสดง อีกอย่าง ตัวอักษรก็เล็กมาก อาจเป็นเพราะว่า ฉันนั่งอยู่ไกลมากก็เป็นได้

หลายๆครั้ง ก็บอกตัวเองว่า อือม ฟังอย่างเดียวละกัน เข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้างก็ไม่เป็นไร ไม่งั้นกลายเป็นว่าเสียตังค์มา กลับไม่ได้ดูการแสดงเพราะมัวแต่อ่าน subtitle ซะนี่



แต่พอซักพัก ก็ต้องกลับไปดู subtitle อยู่ดี เพราะไม่รู้ว่า เจ้าฝรั่งข้างๆมันจะขำอะไรนักหนา

เรื่องนี้ พอจะจับใจความได้ว่า เป็นการกล่าวถึงโลกในอนาคตอีกประมาณ 200 ปีข้างหน้า ที่เพลงร็อคได้หายสาบสูญไป มีแต่เพียงป๊อบเท่านั้น โดยบริษัท โกลบอลซอฟต์ คอร์ปอเรชัน ทำการควบคุม เยาวชนให้รับรู้แต่เพลงที่พวกเขาต้องการเท่านั้น



แต่ก็มีกลุ่มคนที่ต่อต้าน พวกเขาหวังว่า สักวันหนึ่ง จะมีวีรบุรุษที่จะมาช่วยให้ตำนานเพลงร็อคกลับมาอีกครั้ง

พระเอกของเรื่องชื่อ กาลิเลโอ ฟิกาโร แต่นางเอกนี่ซิ ชื่อ สแกรี่ บุช ตอนแรกฟังอยู่พักหนึ่ง เห็นผู้ชมหัวเราะกัน พอสักพักก็เข้าใจ อ้อ ล้อการเมืองนี่เอง

เรื่องนี้ มีหลายๆตอนที่เป็นการกึ่งล้อเลียนแบบ domestic ด้วยนะ อย่าเพิ่งงง คือเท่าที่จับใจความได้ การแสดงครั้งนี้ มีการให้ credit กับเพลง นักร้อง เกมส์โชว์ ของเมืองไทยตั้ง 3 ครั้งด้วยกัน

ครั้งแรก ตอนที่ยกตัวอย่างเพลงร๊อค ก็มีพูดชื่อเพลงต่างๆ แล้วก็มีชื่อเพลง “จังหวะหัวใจ”
ครั้งสอง ตอนที่เหล่านักต่อต้าน ทำการแนะนำชื่อตัวเองกับกาลิเลโอ ก็มีการพูดชื่อต่างๆที่พวกเราคงคุ้นหูกัน ทั้งชื่อนักร้อง นักแสดง แต่คนสุดท้ายเนี่ยซิ แนะนำตัวเองว่าชื่อ “ธงไชย แม็คอินไตย”
ครั้งที่สาม ตอนที่นักแสดงคนหนึ่ง เอาวีดีโอของควีนมาเปิดให้กาลิเลโอดู แต่เปิดได้นิดเดียว ก็ดับไป กาลิเลโอ ถามว่า มีแค่นี้เองหรือ นักแสดงคนนั้นตอบว่า ใช่ ที่เหลือเป็นรายการ “ชิงร้อยชิงล้าน”

เรื่องนี้ทั้งทีมงาน และ นักแสดงเขามืออาชีพจริงๆ ก็แสดงมา 6 ปีแล้วนี่ นักดนตรีก็บรรเลงเพลงได้กระหึ่มมากๆ ฉากต่างๆก็มีมากมาย ทำได้ดีสมจริง

ผู้ชมก็มีส่วนร่วม แต่ฉันว่ายังน้อยนะ ถ้าเทียบกับที่อื่น มีบ้างบางเพลง แต่ 2 เพลงสุดท้ายเนี่ยซิ ทั้ง We Will Rock You , We are The Champions ทำเอาหูฉันเกือบแตก แต่ก็สนุกดี

ฉันว่า ฉันคงดูละครเพลงเรื่องนี้ได้สนุกมากกว่านี้ถ้า
1. ฟังภาษาอังกฤษออก
2. รู้จักเพลงของวงควีนมากกว่านี้
แต่ก็เอาน่า ถือว่ามาเปิดหูเปิดตาละกัน ลองเสพในสิ่งที่ไม่เคยบ้าง โลกนี้ยังสวยงาม