Saturday, April 29, 2006

ดูดาวกับนักลงทุน

เย็นนี้ lunar จะไปฟังสัมมนาเรื่อง ลงทุนให้รวย โดย ดร.สุวรรณ วลัยเสถียร ที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย เวลา 5 โมงเย็นถึง 1 ทุ่ม งานนี้ไม่มีค่าใช้จ่าย จัดให้กับสมาชิกชมรมคนออมเงิน lunar ก็เป็นสมาชิกด้วยเหมือนกัน อยากรวยด้วยคน

กว่าจะไปฟังก็ต้องเย็นแน่ะ บ่ายๆออกไปเดินเที่ยวก่อนดีกว่า ยังไม่เตรียมว่าจะไปไหนเลย อือม.. ไป ท้องฟ้าจำลอง (Bangkok Planetarium) ละกัน ใกล้กับตลาดหลักทรัพย์ เที่ยวเสร็จจะได้ไปฟังสัมมนาง่ายๆ


ไม่ได้ไปมานานนน..มาก คงตั้งแต่สมัยเรียนมัธยมโน้นแน่ะ วันนี้ไป ส่วนใหญ่จะเป็นครอบครัว พ่อแม่พาลูกๆมาเที่ยว ประปราย
lunar ไปถึงก็ประมาณบ่าย 2 แล้ว มีเวลาเที่ยวประมาณ 2 ชั่วโมงครึ่ง บัตรค่าเข้าชม 20 บาทสำหรับดูดาว และ 20 บาทสำหรับดูนิทรรศการต่างๆ (ราคาผู้ใหญ่ 20 บาท ราคาเด็ก 10 บาท)

จะมีการแสดงฉายดาวในเวลา บ่าย 2 ครึ่ง ยังเหลือเวลาอีก ครึ่งชั่วโมง ไปดูปลาในอาคาร 3 ก่อนดีกว่า
เข้าไปในอาคาร 3 มีตู้ปลาอยู่หลายตู้เหมือนกัน วันก่อนเพิ่งไปดูปลาที่ Siam Ociean World มา พยายามถ่ายรูป แต่.. ถ่ายยากมากเลยค่ะ ปลามันไม่อยู่นิ่งๆให้ถ่าย งั้นเอารูปสถานที่ แบบรวมๆมาดูละกัน


บริเวณภายในอาคาร

ถ่ายปลาจริงไม่ work ถ่ายปลานีโมของเล่นละกัน

บ่าย 2 ครึ่งละ ไปดูดาวดีกว่า ห้องดูดาวจะเป็นห้องทรงกลมรูปโดมขนาดใหญ่ จุคนได้ประมาณ 370 คน ตรงกลางของห้องจะมีเครื่องฉายดาวไซซ์ส ขนาดเส้นผ่านศูนย์กลาง 20 เมตร สูง 13 เมตร สามารถฉายดาวฤกษ์ได้ประมาณ 9,000 ดวง วันนี้ฉายเรื่อง ปรากฏการณ์บนฟากฟ้า เรื่องที่ฉายนี้จะเปลี่ยนไปทุกๆ 2 เดือน

บริเวณทางเข้าอาคารดูดาว
มีเจ้าหน้าที่มาบรรยายให้ฟังด้วยค่ะ ตอนแรกนึกว่าจะเปิดเทปซะอีก ดวงดาวสวยดีนะ แม้จะเป็นของทำขึ้น ไม่ใช่ของจริง ก็อยู่กรุงเทพ แสงไฟเยอะแยะ จะไปหาดาวดูได้ซะที่ไหนละเนี่ย

เจ้าหน้าที่บรรยายไปเรื่อยๆ สอนดูกลุ่มดาวต่างๆ lunar นั่งดูได้สักพัก..แหะแหะ..หลับอ่ะ.. คือบรรยากาศเหมือนนอนดูดาวยังไงยังงั้น แถมห้องแอร์เย็นๆอีกต่างหาก แต่ไม่ใช่เราคนเดียวนะที่หลับ ได้ยินคนเสียงกรนของคนนั่งแถวหลังด้วย..อิอิ

แต่ไม่ใช่ว่าเข้าไปปุ๊บจะหลับปั๊บเลยนะ ตอนแรกๆก็ได้ฟังการบรรยาย อ้อ ทำให้ได้ความรู้เพิ่มเติมอย่างหนึ่งเกี่ยวกับการขึ้นลงของดวงอาทิตย์..สิ่งที่เราเห็นอยู่ทุกวันเนี่ยแหละ

พระอาทิตย์จะขึ้นและลงโดยเปลี่ยนทิศไปทุกวัน แต่เปลี่ยนทีละน้อย ประมาณวันที่ 20 กว่าๆ(อิอิ จำไม่ได้อ่ะ)ของเดือนเหล่านี้

มีนาคมและกันยายน ขึ้นทางทิศตะวันออก
มิถุนายน ขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ
ธันวาคม ขึ้นทางทิศตะวันออกเฉียงใต้

ส่วนระหว่างเดือนที่เหลือ พระอาทิตย์ก็จะเคลื่อนไประหว่างทิศทั้งสอง (อือม.. ไม่น่าละ ตอนเช้าตื่นนอนในบางวันก็สังเกตว่า พระอาทิตย์ขึ้นแปลกๆ)

ผ่านไป 1 ชั่วโมง การบรรยายจบล่ะ ท้องฟ้าเริ่มสว่าง ตื่นพอดี อิอิ บ่าย 3 ครึ่งเกือบ 4 โมงเย็น ยังไม่ได้เดินอีกหลายอาคาร ว่าแล้วก็รีบเลยดีกว่า เพราะที่นี่จะปิด 4 โมงเย็น
ไปเดินอาคาร 2 ละกัน เป็นอาคารวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี



หุ่นยนต์ตัวนี้ทำเหมือน Rodney ในเรื่อง Robots

Robots อื่นๆ

โดมกลางอาคาร

ทางเข้านิทรรศการแสดงประวัติและวิวัฒนาการของมนุษย์

มีข้อมูลเขียนว่า

รัฐบาลอเมริกันมอบให้ ปี พ.ศ.2514 นาฬิกา โอเมก้า บูรณะยานและสร้างหุ่นมนุษย์อวกาศ เนื่องในวาระครบรอบ 25 ปี ของการเยือนดวงจันทร์ มอบให้ ณ วันที่ 21 กรกฏาคม 2537

ตกลงก็ยังไม่รู้มันคืออะไร ????

4 โมงครึ่งล่ะ เจ้าหน้าที่ประกาศปิดแล้ว ยังไม่ได้เดินอีก 2 อาคาร ไว้วันหลังล่ะกัน

นั่งรถไฟฟ้า BTS ต่อด้วย MRT ไปลงที่ศูนย์ประชุมสิริกิตต์ วันนี้มีคนไปฟังกันเยอะแฮะ นึกว่าจะน้อยเพราะมีวันหยุดติดกันหลายวัน lunar ลงทะเบียนมาแล้วนะ แต่ทำไมไม่มีชื่ออ่ะ

แต่ไม่เป็นไร เจ้าหน้าที่ให้เข้าไปฟังได้ ต้องรีบเข้าไปนั่งก่อนดีกว่า เดี๋ยวไม่มีที่นั่ง คนเยอะจริงๆ

นั่งรอจนเกือบได้เวลา 5 โมงครึ่ง คนเยอะ ที่นั่งไม่พอ ต้องเปิดอีกห้อง คนก็ยังเต็ม น่าดีใจแทนอ.สุวรรณ

วันนี้ อ.สุวรรณไม่ได้มาคนเดียว พาภรรยามาด้วย ส่วนใหญ่แล้วหัวข้อที่บรรยาย lunar ก็จะได้ยินมาบ้างแล้วจากการฟัง FM 96.5 แต่ก็มีเรื่องเล่าจากประสบการณ์ขำๆหลายเรื่อง ที่ยังไม่เคยฟัง

หน้างาน เขามี DVD กับ CD ที่บันทึกการสัมมนาขายด้วย แต่เราเอา MP3 ไปอัดมาแล้วอ่ะ เสียงอาจจะเบาไปนิด แต่พอฟังได้อ่ะ...

เลิกจากการสัมมนา ไปเดินเที่ยวที่รัชดาไนท์พลาซ่า ตรงแยกรัชดา-ลาดพร้าว เห็นว่าส่วนใหญ่จะเป็นของเก่า lunar ไปเดินได้แป็บเดียว ฝนตกลงมาซะเนี่ย คนขายของเก็บของแทบไม่ทัน แต่ไม่ทันไร ฝนก็หยุด OK งั้นเดินต่อ

อีกสักแป๊บ ตกลงมาอีกล่ะ ฝนเม็ดใหญ่ด้วย หลบแทบไม่ทัน และก็เป็นเหมือนเดิม ตกนิดเดียวก็หยุด เอ๊ะ จะเอาไงเนี่ย

คนขายของหลายคน เก็บของเตรียมกลับล่ะ อีกหลายคนยังรีๆรอๆอยู่
โอ้ lunar มาเดินแค่เนี้ย ฝนฟ้าไม่เป็นใจเลยแหะ

ที่นี่ขายอะไหล่เยอะ อะไหล่รถยนต์, มอเตอร์ไซด์ มีมอเตอร์ไซด์มือ 2 มาขายเยอะด้วย เห็นมี Vespa ตกแต่งสวย น่ารักดีค่ะ แต่ราคาไม่ค่อยน่ารักอ่ะดิ 30,000 ขึ้นทั้งนั้น

ไม่ได้ซื้อไร เดินเอาบรรยากาศเท่านั้นเอง...

Thursday, April 27, 2006

สวนลุมไนท์บาซาร์

เย็นนี้เลิกงานแล้วยังไม่ตรงดิ่งกลับบ้าน รอปะป๊ากะมามี๊ไปดูงิ้ว แล้วว่าจะกลับด้วยกัน นัดกันที่บ้านยี่อี้ ซักประมาณ 4 ทุ่ม

อือม.. เวลาเหลือขนาดนี้ ไปไหนดีน๊า ตอนแรกว่าจะไม่ไปไหน อุตสาห์เอา VCD เรื่อง Autumn in My Heart ซัก 2 แผ่นกะจะไปนั่งดู แต่คิดๆดูแล้ว ไปเดินเที่ยวดีกว่านะ ไปสวนลุมไนท์บาซาร์ ละกัน นั่งรถไฟฟ้า MRT ไปง่ายๆ

ไม่รู้ว่าจะมีอะไร แต่ก็ลองไปเดินๆดู ที่นี่ก็นับว่ากว้างขวาง คล้ายๆจัตุจักรย่อส่วนลงมา ลักษณะสิ่งของจะคล้ายกัน แต่น้อยกว่าเยอะเลยค่ะ เดินง่ายๆ ไม่ร้อน สอบถามแม่ค้า บอกว่าเปิดเฉพาะกลางคืน 6 โมงเย็นถึงเที่ยงคืน ทุกวัน

คนขายที่นี่ดูไม่ค่อยกระตือรืนร้นที่จะขายของ ไม่เหมือนที่จตุจักรเท่าไหร่แฮะ ไม่รู้ทำไม สงสัยค่าเช่าถูก เห็นนั่งคุยกัน ดูโทรทัศน์ ทำโน้นทำนี่ไปเรื่อย หรือว่าเห็นเราเป็นคนไทย เลยไม่ค่อยจะสนใจ รับแต่ลูกค้าฝรั่งละมั้ง

lunar เดินแทบจะทั่วเลยล่ะ เดินอย่างเดียว ไม่กะซื้อไร แต่บังเอิญเห็นร้านขายเสื้อยืดร้านหนึ่ง มีลายปักรูปน่ารักๆ หมา, ไก่, ดอกไม้, ผีเสื้อ น่ารักดี ไม่โหลอ่ะ size M ราคา 199 บาท ก็เลยซื้อมา 1 ตัว เป็นลายไก่ ใจจริงอยากได้ลายหมาน้อย แต่ไม่มี size M แถมสีชมพูแป๊ด สีไม่ถูกใจ

ที่จริงร้านนี้ ตอนแรกที่เดินเข้าไป สิ่งที่สะดุดตาคือ ผ้าห่ม, ผ้าปูที่นอน เป็นผ้าแต่ละชิ้นมาต่อๆกัน งานhandmade สวยน่ารัก คุณภาพดี ราคา 1800 บาท ดูดูไปก่อน เผื่อจะซื้อไว้ใช้ที่คอนโด

หลังจากเดินมานาน ออกมาข้างนอกดีกว่า ที่นี่ตรงด้านหน้าทางเข้า มี ปราสาทหินจำลอง ซึ่งข้างในจะเป็นจุดประชาสัมพันธ์ กลางคืน ประดับไฟสวยดี เสียดายวันนี้ไม่ได้เอากล้องมา

อีกด้านจะเป็นบริเวณร้านอาหาร มีลานเบียร์ ใกล้ๆกันก็เดินมาเจอนี่เลย นาฏศาลา หุ่นละครเล็ก หรือ โจหลุยส์ เธียเตอร์ ไม่ได้เดินเข้าไปดูด้วยซิว่าวันนี้จัดแสดงเรื่องอะไร

เห็น BEC Tero Hall ใกล้ๆกันด้วย มีร้าน กาแฟดอยตุง อือม..แต่วันนี้กินกาแฟไปมากแล้ว ไม่กินดีกว่า

เดินได้ 2 ชั่วโมงกว่าๆ เริ่มหิวละ แวะกินก๋วยเตี๋ยวหลอดตรงใกล้ๆกับทางเข้ารถไฟฟ้า MRT ละกัน แต่ไม่ work เลยอ่ะ ..กลับดีกว่า

Sunday, April 23, 2006

Angels & Demons

โอ๊ะโอ และแล้ว lunar ก็ใช้เวลาว่างในช่วงวันหยุดสงกรานต์กับวันเลือกตั้ง สว. อ่านหนังสือเล่มนี้จบแล้วอ่ะค่ะ --> Angels & Demons หรือ เทวากับซาตาน


สนุกๆมากๆเลย รู้งี้อ่านซะตั้งนานแล้ว ไม่น่าดองไว้ในชั้นหนังสือตั้งปี เล่มนี้ Dan Brown เขียนก่อนเรื่อง Davinci Code แต่คนส่วนใหญ่จะรู้จัก Davinci Code มากกว่า ซึ่งหลังจากอ่านจบ lunar กลับชอบเรื่องนี้มากกว่าอ่ะ

อิอิ lunar มีเคล็ดลับอย่างหนึ่ง ถ้าต้องการอ่านหนังสือ แต่ไม่มีเวลามาก ไม่เป็นไร แค่มีเวลาสัก 1 ชั่วโมง ลองเริ่มอ่านไปก่อน หลังจากที่เรื่องเริ่มสนุกแล้ว เวลาที่เหลือก็จะตามมาเอง หลังจากอ่านจบ ด้วยความหนาของหนังสือประมาณ 600 หน้า ก็ตั้งใจว่าจะมาเขียนเรื่องย่อให้อ่านใน blog นี้ ผลก็คือ ต้องไปเปิดหนังสือทบทวนถึงชื่อตัวละคร สถานที่ต่างๆ วัตถุ สิ่งของ รวมทั้งหาข้อมูลเพิ่มเติม พวกรูปภาพต่างๆในเว็บ กว่าจะเขียน blog นี้ก็ใช้เวลาอีกเยอะเช่นกัน

ระยะหลังนี้ blog ของ lunar แต่ละหัวข้อ จะใช้เวลาเยอะเหมือนกัน ไม่เป็นไร สนุกดีค่ะที่ได้เขียน เรื่องนี้ อย่างที่บอกค่ะ แต่งโดย Dan Brown สำหรับคนแปล จะมี 2 คน คือ อรดี สุวรรณโกมลและอนุรักษ์ นครินทร์ ซึ่งก็ขอยอมรับนะคะว่า แปลเก่ง เนื่องจากแปลกันคนละครึ่งเล่ม แล้วเอาเนื้อหามาต่อกัน ดังนั้น รูปแบบและสำนวนต่างๆ ก็ต้องมีความใกล้เคียงกัน ไม่งั้นคนอ่าน คงรู้สึกแปลกแน่ๆ อีกอย่างเรื่องนี้ มีทั้งเรื่องเกี่ยวกับวิทยาศาสตร์ ศาสนา สถาปัตยกรรมต่างๆ ภาษาก็มีทั้ง อิตาลี อาหรับ ถึงได้บอกว่า คนแปล แปลได้เก่ง

ว่าแล้วเริ่มกันเลยดีกว่า แต่ขอบอกก่อนนะคะ ว่าสำหรับคนที่อ่านหนังสือแล้ว หรือคนที่ไม่คิดว่าจะอ่านหนังสือ ก็อ่านเรื่องย่อนี้ได้เลยค่ะ เพราะ lunar จะเล่าเรื่อง ตั้งแต่ต้นจนจบทีเดียว แต่สำหรับคนที่อ่านหนังสือไปบ้างแล้ว หรือตั้งใจว่าจะอ่าน ก็ข้าม blog หัวข้อนี้ไปก่อนดีกว่า เดี๋ยวหมดสนุกแล้วจะหาว่าไม่เตือนนะ

ฉากเริ่มต้นของเรื่องนี้ เกิดขึ้นที่ CERN - เป็นองค์กรความร่วมมือระหว่างประเทศในยุโรปเพื่อการวิจัยและพัฒนาด้านนิวเคลียร์ มีฐานที่ตั้งในประเทศสวิสเซอร์แลนด์

CERN

เมื่อนักฟิสิกส์ที่ชื่อเลโอนาร์โด เวตรา ถูกฆาตกรรม โดยการตายของเขา เป็นที่สยดสยองต่อผู้พบเห็น เนื่องจาก ศรีษะของเขาถูกบิดกลับหลัง ลูกตาข้างหนึ่งถูกควักออกไป และตรงหน้าอกถูกประทับตราด้วยโลหะร้อน อักษรเขียนคำว่า


คำๆนี้ เป็นรูปสมมาตร ที่เรียกว่า แอมบิแกรม คืออ่านได้ทั้ง 2 ด้าน คือถ้าลองหมุนไป 180 องศา ก็จะอ่านคำคำนี้ได้เช่นเดียวกัน

เมื่อ แมกซีมีเลียน โคห์เลอร์ นักฟิสิกส์อนุภาคไม่ต่อเนื่อง และเป็นผู้อำนวยการ CERN ได้พบศพนี้ เขาได้ติดต่อไปหา โรเบิร์ต แลงดอน ศาสตราจารย์ด้านศาสนสัญลักษณ์ที่มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เพื่อต้องการทราบความหมายของคำๆนี้ ทั้งนี้เนื่องจาก แลงดอน เคยมีข้อมูลเกี่ยวกับ ILLUMINATI อยู่ใน web โดยข้อมูลที่อยู่ใน web นี้ทำให้ โคห์เลอร์ สามารถสืบเสาะจนหาแลงดอนพบ

แลงดอนเอง เมื่อได้เห็นสัญลักษณ์นั้น ก็แทบไม่อยากเชื่อ เนื่องจาก กลุ่ม อิลลูมินาตินี้ เป็นเหมือนเรื่องราวในตำนาน ที่หายสาบสูญไปนานแล้ว ในศตวรรษที่ 16 มีคนกลุ่มหนึ่งที่มีความรู้ในอิตาลีลุกขึ้นมาต่อต้านคริสตจักร ทั้งนักฟิสิกส์ คณิตศาสตร์ ดาราศาสตร์ ได้ก่อตั้งผู้เชี่ยวชาญทางวิทยาศาสตร์เป็นกลุ่มแรกของโลก เรียกว่า ผู้รู้แจ้ง อิลลูมินาติ มุ่งอุทิศตนเพื่อเสาะหาข้อเท็จจริงทางวิทยาศาสตร์ มีการพบปะกันใน วิหารแห่งอิลลูมินาติ


กาลิเลโอ

ในช่วงเวลาดังกล่าว ได้มีการจับกุมนักวิทยาศาสตร์ที่โด่งดังคนหนึ่ง กาลิเลโอ ผู้เป็นสมาชิกอิลลูมินาติ และเป็นคาทอลิกผู้เคร่งครัด เนื่องจากเขาประกาศว่า ดวงอาทิตย์คือศูนย์กลางของระบบสุริยะ ไม่ใช่โลก

โดยการจับกุมกาลิเลโอ ทำให้คริสตจักรพบรายชื่อสมาชิก 4 คน นำตัวไปสอบสวน ทรมานด้วยการประทับตราด้วยสัญลักษณ์ไม้กางเขน ถูกฆ่า แล้วนำศพมาทิ้งประจานรอบๆกรุงโรม

ประวัติคร่าวๆของ อิลลูมินาติ ที่แลงดอนเคยศึกษามา โคห์เลอร์ ได้ขอให้แลงดอนมาที่ CERN เพื่อช่วยอธิบายความหมายของคำสมมาตรนี้ โคห์เลอร์สั่งคนไปรับแลงดอนด้วย โบอิ้งเอกซ์-33 จากอเมริกามาสวิสเซอร์แลนด์ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง

ที่ CERN เขาได้พบเห็นเทคโนโลยี สถาปัตยกรรม และนักวิทยาศาสตร์จำนวนมากมาย ระหว่างทางที่เขาจะไปพบศพของเลโอนาร์โด เวตรา นั้นเขาได้พบกับ อุโมงค์การตกเสรี อุโมงค์ลมแบบแนวตั้ง ดิ่งพสุธาในที่ร่ม ใช้เพื่อลดความเครียด ภายในอุโมงค์เขาพบนักดิ่งอวกาศหญิง สวมชูชีพขนาดจิ๋ว โดยโคห์เลอร์ให้ความรู้กับเขาว่า สิ่งนั้นช่วยลดอากาศพลศาสตร์เพื่อให้พัดลมยกตัวเธอขึ้นได้ การลากดึงพื้นที่หนึ่งตารางหลา ทำให้ร่างที่กำลังตก ช้าลงเกือบยี่สิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งความรู้ดังกล่าว ได้ช่วยชีวิตเขาในภายหลัง

เลโอนาร์โด เวตรา มีลูกบุญธรรมคนหนึ่ง ชื่อ วิตโตเรีย เวตรา เป็นนักฟิสิกส์ชีวสัมพันธ์ ซึ่งเธอก็เพิ่งจะทราบข่าวการตายของคุณพ่อเธอ และกำลังกลับมาที่ CERN โคห์เลอร์สงสัยว่า การตายของ เลโอนาร์โด เวตรา อาจจะเกี่ยวข้องกับการค้นคว้าวิจัยบางอย่างของพ่อลูกคู่นี้ จึงสอบถามวิตโตเรีย โดยเธอก็บอกว่า เธอกับคุณพ่อประสบความสำเร็จจริง และเป็นความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ซึ่งจะเป็นการตอบคำถามที่มีมานาน ของวิทยาศาสตร์และศาสนา แต่เธอยืนยันว่า ยังไม่มีใครล่วงรู้ความสำเร็จดังกล่าว ยกเว้นเธอกับคุณพ่อเท่านั้น เพราะไม่มีใครสามารถเข้าห้องทดลองดังกล่าวได้นอกจากเขาทั้ง 2 เนื่องจากเธอใช้ระบบรักษาความปลอดภัย โดยการสแกนม่านตา ระบบจะอนุญาตให้เฉพาะเธอและคุณพ่อเท่านั้น

ที่ประตูทางเข้า แลงดอนและโคห์เลอร์ก็ได้รู้ว่า เหตุใดฆาตกร จึงควักลูกตาของ เลโอนาร์โด เวตรา ออกมา ก็เพื่อใช้เป็นกุญแจเข้าห้องทดลอง ณ ที่นั้น วิตโตเรีย พบว่า มีสิ่งของอย่างหนึ่งที่หายไป นั่นคือตัวอย่างของปฏิสสาร (Antimatter) ขนาด 1 ใน 4 กรัม

Antimatter ปฏิสสาร สสารชนิดเดียวกับสสารปกติ แต่อนุภาคที่ประกอบเป็นปฏิสสารมีประจุไฟฟ้าที่ตรงข้ามกับอนุภาคที่พบในสสารปรกติ

ปฏิสสาร 1 กรัมให้พลังงานเท่าระเบิดนิวเคลียร์ 20 กิโลตัน เท่ากับระเบิดนิวเคลียร์ที่ถล่มเมืองฮิโรชิมาในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 2

ซึ่งเธอและคุณพ่อได้ทำการทดลองที่แก้ปัญหาความขัดแย้งระหว่างวิทยาศาสตร์กับศาสนา -- การสร้างจักรวาล

การสร้างจักรวาล มีหลายทฤษฎี แต่มีทฤษฎีหนึ่งชื่อ Big Bang Theory ทฤษฎีว่าด้วยการกำเนิดจักรวาลที่นักดาราศาสตร์ส่วนใหญ่ยอมรับเป็นทฤษฎีที่มีข้อสรุปว่า กำเนิดจักรวาลเป็นผลลัพธ์ของการระเบิดครั้งใหญ่ของมวลสารที่หนาแน่นขนาดมหึมา ที่เรียกว่า บิ๊กแบง เมื่อ 15,000 ถึง 20,000 ล้านปีก่อน

วิตโตเรียและคุณพ่อได้ออกแบบการทดลองเพื่อพิสูจน์ว่า พระคัมภีร์ปฐมกาล (Genesis) เป็นเรื่องที่เป็นไปได้ พระคัมภีร์นี้เป็น พระคัมภีร์เล่มแรกของไบเบิล กล่าวถึงการสร้างโลก :- จงมีแสงสว่าง สสารมาจากการสร้างโลก

เธอทำการทดลองการสร้างจักรวาลจากความว่างเปล่าเป็นการสร้างบิ๊กแบงขึ้นใหม่ในขนาดย่อส่วน

วิธีการ
เร่งลำอนุภาคที่บางเฉียบ 2 ลำไปในทิศทางตรงข้ามกันในท่อวงแหวนเครื่องเร่งอนุภาค ลำอนุภาคทั้ง 2 ปะทะกันอย่างรุนแรงด้วยความเร็วมหาศาล ขับเคลื่อนเข้าสู่กันและกัน และบีบอัดพลังงานทั้งสิ้นเข้าด้วยกันเป็นหนึ่งเดียว ทำให้พลังงานเกิดความหนาแน่นสูงสุด เป็นการจำลองช่วงเวลาที่พลังงานถูกบีบอัด จนจักรวาลปะทุขึ้นมา ผลลัพธ์คือ ภายในท่อเครื่องเร่งอนุภาค ตรงจุดที่พลังงานถูกกดอัดเต็มที่ อนุภาคของสสารเริ่มปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า

พวกเขาสร้างปฏิสสารขึ้นมา แต่ปัญหาอยู่ที่การเก็บ วิตโตเรียเป็นคนคิดกระบอกที่ชื่อว่า กับดักปฏิสสาร ข้างในเป็นสูญญากาศ ปฏิสสารจะไม่สัมผัสกับกระบอก (เพราะกระบอกเป็นสสาร จะเกิดปฏิกิริยาทันที ที่สัมผัส) แต่แขวนไว้กลางกระบอกด้วยสนามแม่เหล็ก 2 สนาม

แหล่งพลังงานของแม่เหล็กจะอยู่ในเสาข้างใต้กับดัก กระบอกถูกยึดกับช่องชาร์จ ซึ่งจะชาร์จไฟซ้ำต่อเนื่องเพื่อไม่ให้แม่เหล็กหมดพลังได้ เพราะเมื่อสนามแม่เหล็กหมดพลังเมื่อใด ปฏิสสาร ก็จะตกลงสัมผัสกับ สสาร เกิดปฏิกิริยาปลดปล่อยพลังงานจำนวนมากออกมา

วิตโตเรียได้แสดงให้เห็นพลังงานของ ปฏิสสาร จากตัวอย่างขนาดเล็ก ห้าพันนาโนแกรม และเธอมั่นใจว่าการตายของพ่อเกี่ยวข้องกับการหายไปของ ตัวอย่างปฏิสสารขนาดใหญ่ 1ใน4กรัม ซึ่งจะแปรรูปได้ 5 กิโลตัน เธอพยายามจะให้ตำรวจเข้ามาช่วย แต่โคห์เลอร์พยายามยับยั้ง เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับอนาคตของ CERN

โคห์เลอร์ได้รับการติดต่อจาก วาติกัน ว่ามีอุปกรณ์ดังกล่าวอยู่ ณ ที่ใดที่หนึ่งในวาติกันแต่ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด แต่เห็นได้จากกล้องวงจรปิด ที่ถูกขโมยออกไป โคห์เลอร์ บอกให้แลงดอนและวิตตอเรียไปค้นหา ปฏิสสาร ที่วาติกัน เขาไม่สามารถไปได้เพราะเกิดอาการกำเริบจากโรคประจำตัวของเขา


วาติกัน

แผนที่ตั้งของวาติกัน

แลงดอนและวิตตอเรีย มาถึงที่วาติกัน ที่นั่นกำลังจัดให้มีการเลือกพระสันตะปาปา องค์ใหม่ แทนองค์เดิมที่เพิ่งสิ้นพระชนม์ไปเมื่อ 15 วันก่อนเนื่องจากเส้นโลหิตในสมองแตก พวกเขาได้พบกับ ผู้บัญชาการโอลิเวตตี ผู้บัญชาการใหญ่แห่งกองทหารองครักษ์สวิส ที่กำลังวุ่นกับการค้นหาอะไรสักอย่างที่หายไป เมื่อพวกเขาได้บอกถึงอันตรายของ ปฏิสสาร และเน้นย้ำว่า ภายในอีกไม่กี่ชั่วโมง จะเกิดระเบิดที่รุนแรงหากไม่สามารถค้นหา ปฏิสสาร นั่นให้ทัน (เนื่องจากพลังงานจากการชาร์จกระบอกจะอยู่ได้เพียง 24 ชั่วโมง) เขาทั้งคู่แนะนำว่าควรจะบอกกับเหล่าพระคาร์ดินัลทั้งหลาย และควรอพยพไปที่อื่นก่อน แต่โอลิเวตตีไม่เชื่อเรื่องความรุนแรงนั้น อีกทั้งมั่นใจว่าจะหา ปฏิสสาร ได้พบทันเวลา และเหนืออื่นใด เขาไม่ยอมให้มีการเลื่อนการคัดเลือกสมเด็จพระสันตะปาปาออกไป

วัดน้อยซิสตีน สถานที่คัดเลือกองค์พระสันตปาปา

ภาพ The Last Judgement เหนือแท่นบูชาในวัดน้อยซิสตีน

แลงดอนและวิตตอเรียพยายามติดต่อกับ อิลคาเมอร์เลโญ ซึ่งเป็นผู้ช่วยส่วนพระองค์ในสมเด็จพระสันตะปาปา เป็นผู้ดูแลการประชุมพระคาดินัล จนกระทั่งเหล่าพระคาดินัลลงมติเลือกพระสันตะปาปาองค์ใหม่ เพื่อแจ้งให้ทราบถึงความร้ายแรงปฏิสสาร

อิลคาเมอร์เลโญคนปัจจุบันชื่อ คาร์โล เวนเตรสกา เป็นคนหนุ่มอายุประมาณ 30 ปลายๆ เป็นคนที่เคร่งครัดศาสนา ด้วยความที่ยังหนุ่มแต่ได้รับตำแหน่งที่สำคัญนี้ ทำให้หลายๆคนยังไม่ยอมรับ รวมทั้ง โอลิเวตตี ด้วย

ระหว่างที่ทั้งหมดกำลังปรึกษากัน ก็มีโทรศัพท์จากชายคนหนึ่ง อ้างว่า เป็นสมาชิกของ อิลลูมินาติ พร้อมกับยืนยันว่า อิลลูมินาติ ยังอยู่และภายในค่ำคืนนี้ อิลลูมินาติจะประกาศศักดา โดยการทำในสิ่งที่คริสตจักรในอดีตได้ทำกับกลุ่ม อิลลูมินาติ นั่นคือ จะทำการฆ่าพระคาร์ดินัลทั้ง 4 ฆ่าทีละคน เริ่มที่เวลา 2 ทุ่ม คนต่อไป 3 ทุ่ม ไปเรื่อยๆเป็นลำดับอนุกรม แต่จะเปิดเผยกับทุกสื่อให้รับทราบ และเมื่อเวลาเที่ยงคืน วาติกันก็จะพังทลายไปด้วย ปฏิสสาร

แลงดอนและวิตตอเรียจึงทราบว่า สิ่งที่ โอลิเวตตี ค้นหาตั้งแต่แรกนั้นคือ พระคาดินัลทั้ง 4 ที่จะเป็นตัวเก็ง (อิเปรเฟริติ)ในการคัดเลือกพระสันตะปาปา

อิเปรเฟริติทั้ง 4 ได้แก่
พระคาดินัลลามัสเซ่จากปารีส
พระคาดินัลกีเดลาจากบาร์เซโลนา
พระคาดินัลเอ็บแนร์จากแฟรงก์เฟิร์ต
พระคาดินัลแบ็กเจียจากอิตาลี


เหล่าพระคาดินัล

ด้วยความรู้ที่แลงดอนมี ทำให้เขาคิดว่าน่าจะหาเบาะแสของสถานที่ที่จะมีการฆาตรกรรมเกิดขึ้นได้ โดยจะต้องไปค้นหาจาก หอจดหมายเหตุ ซึ่งสถานที่นี้น้อยคนนักที่จะเข้าไปได้ แม้แต่ คาเมอร์เลโญ ก็ยังไม่เคยได้เข้าไป

หอจดหมายเหตุ

ระหว่างทาง เขาได้บอกเล่าเรื่องราวของอิลลูมินาติให้วิตตอเรียรับทราบ ทั้งเรื่องของสถานที่ประชุมลับของอิลลูมินาติที่เรียกว่า วิหารแห่งการรู้แจ้ง เป็นสถานที่ปกปิดเป็นความลับ สมาชิกอิลลูมินาติ จะค้นพบได้โดยการเดินตาม วิถีแห่งการรู้แจ้ง ซึ่งจะเป็นเครื่องชี้ที่หมายที่ตั้งเรียงลำดับต่อๆไปจนถึงวิหารแห่งการรู้แจ้ง เครื่องชี้ดังกล่าวนี้จะเป็นประติมากรรม 4 ชิ้น เป็นการสดุดีธาตุ 4 ธาตุของวิทยาศาสตร์ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ (ปฐวี วาโย เตโช อาโป) ตั้งอยู่ในโบสถ์ทั้ง 4 แห่ง เรียกว่า แท่นบูชาวิทยาศาสตร์

ภายในหอจดหมายเหตุ เป็นสถานที่ที่ปิดทึบ อากาศเบาบาง แลงดอนและวิตตอเรีย พยายามหาหนังสือของกาลิเลโอ สุดท้ายได้เจอ ไดอะแกรมมาเดลลาเวริตา (บทสนทนาว่าด้วยวิทยาศาสตร์สมัยใหม่) ของกาลิเลโอ พิมพ์บนกระดาษปาปิรุส คล้ายทิชชู มีอายุการใช้งานไม่เกิน 1 ศตวรรษ ซึ่งภายในจะเจอบทร้อยกรอง พิมพ์อยู่ทั้ง 4 ด้าน

จากช่องปีศาจหลุมดินแห่งซานตี
เปิดวิถีธาตุลึกลับข้ามโรมกว้าง
วิถีแห่งแสงศักดิ์สิทธิ์ทดสอบทาง
เทวฑูตนำก้าวย่างอย่างจำนง

From Santi’s earthly tomb with demon’s hole,
Cross Rome the mystic elements unfold.
The path of light is laid, the sacred test,
Let angels guide you on your lofty quest.

จากบทแรก “จากช่องปีศาจหลุมดินแห่งซานตี” แลงดอนตีความหมายของบทนี้ว่า โบสถ์แห่งแรกจะต้องเป็นโบสถ์ที่เก็บหลุมฝังศพของ ราฟาเอล ซานตี (ศิลปินผู้ยิ่งใหญ่ในยุคฟื้นฟูศิลปะวิทยาการ) หลังจากตรวจสอบก็พบว่าหลุมฝังศพนั้นอยู่ที่ วิหารแพนธีออน ทั้งคู่จึงรีบรุดไปที่นั่นพร้อมกับแจ้งให้โอลิเวตตีรับทราบ


วิหารแพนธีออน

ช่องโอคูลัส

หลุมศพของราฟาเอล

เมื่อทั้งหมดไปที่นั่น แลงดอนกับวิตตอเรีย ปลอมตัวเป็นนักท่องเที่ยวเข้าไปในโบสถ์ แลงดอนค่อนข้างแปลกใจ และไม่คิดว่าที่แห่งนี้จะเป็นแท่นบูชาวิทยาศาสตร์ หลังจากการค้นหา เขาก็พบว่า ตัวเขาเข้าใจผิด จริงๆแล้ว “ช่องปีศาจหลุมดินแห่งซานตี” นั้นหมายถึง ประติมากรรมที่ราฟาเอลเป็นผู้ออกแบบ เป็นหลุมฝังศพแบบพิเศษ เรียกว่า หลุมปีศาจหรือสุสานผนวก เป็นที่ฝังศพขนาดใหญ่อยู่ใต้วิหาร อยู่ใต้หลุมฝังศพอีกทีหนึ่ง ในกรุงโรมจะหาหลุมปีศาจนี้มีอยู่ที่หนึ่งคือ ซานตามาเรียเดอโปโปโล ซึ่งแปลว่า วิหารแห่งดิน แลงดอนได้ไขปริศนาข้อแรกออกแล้ว

โบสถ์ซานตามาเรียเดอโปโปโล

ภาพโมเสกที่อยู่บนคูเปอร์เมนโต - หลุมปีศาจ
เมื่อเขาทั้งคู่ไปถึงโบสถ์นั้น แลงดอนได้เข้าไปตรวจสอบ หลุมปีศาจ แล้วก็พบศพของ พระคาดินัลเอ็บแนร์ ตายโดยมีดินอัดแน่นอยู่เต็มปาก ขาดอากาศหายใจ บนหน้าอก ถูกนาบด้วยแผ่นเหล็กร้อนเขียนคำว่า

แลงดอนพบว่าโบสถ์ซานตามาเรียเดอโปโปโล มี สถาปัตยกรรมของ เบร์นีนี (ประติมากรนิรนามของอิลลูมินาติ) อยู่ชิ้นหนึ่งที่เรียกว่า ฮาบัคคุกแอนด์ดิแองเจิล

ฮาบัคคุกแอนด์ดิแองเจิล

เบร์นีนี

ดิแองเจิลชี้นิ้วมือไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ แลงดอนพยายามมองหาโบสถ์ที่อยู่ในทิศนั้น และพบจตุรัสเซนต์ปีเตอร์เข้าข่าย เนื่องจากมีแท่นหินอ่อนรูปไข่ฝังไว้ในจตุรัสตรงฐานของเสาหิน เป็นภาพลมพายุพัดกระหน่ำ เรียกว่า เวสต์โปเนนเต แลงดอนได้ตีปริศนาข้อ 2 ออกแล้ว

วิหารเซนต์ปีเตอร์

เสาโอเบลิสค์

เวสต์โปเนนเต

เมื่อไปถึงจตุรัสเซนต์ปีเตอร์ ใกล้เวลา 3 ทุ่ม ทั้งสองได้พยายามลองเดินตรวจสอบ หลังจากนั้นสักพัก ก็ได้ยินเสียงกรีดร้องของเด็กคนหนึ่ง ที่เห็นชายแก่ล้มกลิ้งลงบริเวณจตุรัส หลังจากตรวจสอบแล้วก็พบว่าเป็น พระคาดินัลลามัสเซ่ กำลังสิ้นลมหายใจ จากการถูกเจาะปอด วิตตอเรียพยายามช่วยผายปอด แต่กลับกลายเป็นทำให้เลือดพุ่งออกจากปอดเหมือนปลาวาฬ บนหน้าอกถูกนาบด้วยเหล็กร้อน เป็นคำว่า
แลงดอนมอง เวสต์โปเนนเต ก็เห็นว่าเส้นที่ลากจากกึ่งกลางลมหายใจของ เวสต์โปเนนเต ชี้ไปทิศตะวันออก

เขาได้เข้าไปหอจดหมายเหตุอีกครั้ง เพื่อไปค้นหาผลงานของ เบร์นีนี ที่เกี่ยวกับไฟ แต่ครั้งนี้เขาไปคนเดียว วิตตอเรียไม่ได้ไปด้วย แต่กลับไปกับคาเมอร์เลโญเพื่อไปค้นหาความจริงที่ว่า พระสันตะปาปาองค์ก่อนสิ้นพระชนม์จากการฆาตกรรม ตามที่อิลลูมินาติกล่าวอ้าง มีการสันนิษฐานว่า ท่านใช้ยาเฮปารินเกินขนาด ยานี้ เป็นสารกันเลือดเป็นลิ่มที่แรงมาก ถ้าใช้ในปริมาณมากทำให้เลือดออกในร่างกายมากและเลือดคั่งในสมอง หลักฐานที่ปรากฏคือ หลังตาย ปาก,ลิ้น จะเป็นสีดำ เมื่อวิตตอเรียมาเห็นศพของ พระสันตะปาปา ก็รู้ว่าท่านถูกฆาตกรรมจริง

เมื่อแลงดอนค้นหาข้อมูลจนพอมีเค้าโครงว่า แท่นบูชา แห่งที่ 3 คือ โบสถ์ ซานตามาเรียเดลลาวิตโตเรีย โดยมีสถาปัตยกรรมที่ชื่อ ดิเอ็คสตาซีออฟเซนต์เทเรซา เป็นรูปเทวฑูตกับเซนต์เทเรซา โดยมีคำบรรยายผลงานชิ้นนี้ว่าเกี่ยวกับไฟปรากฏอยู่


ซานตามาเรียเดลลาวิตโตเรีย

ดิเอ็คสตาซีออฟเซนต์เทเรซา

หลังจากที่เขาได้คำตอบแล้ว ก็พยายามติดต่อกับวิตโตเรีย แต่ว่าติดต่อไม่ได้ โชคร้ายอีกครั้งที่ไฟดับ ทำให้เขาออกไปไม่ได้ เขามีเวลาเพียงน้อยนิดที่จะออกจากที่นี่ไป เพราะอากาศที่เบาบางลง สุดท้ายเขาต้องผลักชั้นวางหนังสือให้หล่นทับกันไปแบบโดมิโน ให้ชั้นหนังสืออันสุดท้ายหล่นใส่ผนังกระจก ซึ่งก็ได้ผล เขาออกมาได้ และคิดว่า มีใครบางคน พยายามจะฆ่าเขา

เขาบอกถึงสถานที่ของแท่นบูชาแห่งที่ 3 เมื่อไปถึงที่นั่น เขาก็พบว่าโบสถ์ซานตามาเรียเดลลาวิตโตเรีย กำลังลุกไหม้ ภายในโบสถ์พบพระคาดินัลกีเดลาถูกห้อยโยนจากสายเคเบิลสองสาย ถูกดึงชักรอกขึ้นไป เขายังไม่ตาย ตรงหน้าอกถูกนาบด้วยแผ่นเหล็กคำว่า
แต่ไฟกำลังเผาผลาญท่านอยู่ แลงดอนพยายามช่วย แต่สายเกินไป ที่นั่น โอลิเวตตี ถูกฆ่าตาย วิตโตเรียถูกจับตัวไป และแลงดอนก็พยายามสู้และหนีการตามฆ่าอย่างสุดฤทธิ์ของเจ้าฮัสซัสซิน สุดท้ายเขาติดอยู่ในหีบศพศิลา ฮัสซัสซินคิดว่าเขาตายแล้ว แต่ทหารองครักษ์สวิส ก็มาช่วยเขาในสภาพของคนหมดสติ

ฮัสซัสซินพาวิตโตเรียไปวิหารแห่งการรู้แจ้งของอิลลูมินาติ เพื่อต้องการที่จะมีเพศสัมพันธ์กับเธอ เพราะถือว่าเป็นรางวัลในการทำงานอันยิ่งใหญ่ของตน แต่ต้องหลังจากปฏิบัติภารกิจสุดท้ายก่อน คือการสังหารพระคาดินัลแบ็กเจีย เมื่อแลงดอนฟื้นขึ้นมา เขาต้องการที่จะไปช่วยวิตโตเรีย เขาได้แต่คาดหวังว่า ฮัสซัสซินจะต้องทำงานชิ้นสุดท้ายก่อนที่จะทำอะไรกับวิตโตเรีย

แลงดอนพยายามค้นหาแท่นบูชาแห่งสุดท้าย เขาเห็นว่า หอกของเทวฑูตชี้ไปทางทิศตะวันตก เขาลองตรวจสอบตำแหน่งของ แท่นบูชา 3 แห่งแรก เพื่อตรวจสอบความหมายของทิศทางทั้งหมดโดยหวังว่าจะทำให้ค้นหาตำแหน่งของแท่นบูชาแท่นสุดท้ายได้ เขาพบว่า ตำแหน่งทั้ง 4 น่าจะเป็นรูปไม้กางเขนขนาดใหญ่ ซึ่งตำแหน่งสุดท้ายจะไปตกที่จตุรัสนาโวนา


เซนต์แอกเนสอินอะโกนี

น้ำพุจตุมหานที

ที่จตุรัสนาโวนา ข้างนอกโบสถ์ เซนต์แอกเนสอินอะโกนี มี น้ำพุจตุมหานที ที่เป็นผลงานของเบอร์นินีตั้งอยู่ แลงดอนไปถึงที่นั่นก่อนเวลาสังหาร เขาพอมีเวลาที่จะเตรียมพร้อมก่อนเจอฮัสซัสซิน ที่น้ำพุจตุมหานที เขาพบร่างของพระคาดินัลแบ็กเจียจมน้ำตายที่หน้าอกถูกนาบด้วยแผ่นเหล็กคำว่าสุดท้ายเขาก็ไม่สามารถสู้กับฮัสซัสซินได้ เขาแกล้งทำเป็นตายขณะที่โดนฮัสซัสซินพยายามกดให้จมน้ำตาย เมื่อเขารอดมาได้ ฮัสซัสซิน หนีไป เขาเสียใจที่ไม่สามารถช่วยเหล่าคาดินัลได้ แต่เขาต้องช่วยวิตโตเรียให้ได้

แลงดอนพยายามมองหาสัญลักษณ์สุดท้าย ที่จะชี้ไปวิหารแห่งการรู้แจ้ง เขาเห็นว่า ตรงยอดสุดของเสาโอเบลิสค์ตรงกลางน้ำพุมีนกเขาทำด้วยสำริดตั้งอยู่ นกเขาซึ่งหมายถึงเทวฑูตแห่งสันติภาพ มองตรงไปที่ปราสาทรูปวงกลมในวงล้อมของปราการรูปสี่เหลี่ยม ปราสาทกัสเต็ลซานตานเจโล ปราสาทแห่งเทวฑูต

แลงดอนรีบตามไปที่ปราสาทแห่งนั้น พยายามหาทางเข้าปราสาท จากการตามรอยเลือดของฮัสซัสซิน เขาพบ อิลปาสเซตโต เป็นอุโมงค์แคบๆเชื่อมระหว่างกัสเต็ลซานตานเจโลกับวาติกัน โดยอุโมงค์นี้พระสันตะปาปาจะใช้เป็นทางเดินลับเมื่อคราวลี้ภัย ทำให้เขาไขปริศนาออกและทึ่งกับสถานที่ตั้งมั่นของอิลลูมินาติ


ปราสาทกัสเต็ลซานตานเจโล

อิลปาสเซตโต

ในที่สุดเขาตามหาฮัสซัสซินพบ และช่วยวิตโตเรียออกมาได้ ฮัสซัสซินตกระเบียงบนปราสาทตาย

ในขณะเดียวกัน ที่วาติกัน มีข่าวว่าจะมีอัศวินม้าขาวผู้ที่รู้เรื่องของปฏิสสารจะมาช่วยการค้นหา โดยการขอเข้าพบ คาเมอร์เลโญ แลงดอนคิดว่านี่เป็นกลลวง ผู้ที่จะมาพบกับคาเมอร์เลโญคือเจนัส ประมุขของอิลลูมินาติ จะมาเพื่อกำจัดท่านคาเมอร์เลโญและนาบตราประทับบนหน้าอก สัญลักษณ์ของอิลลูมินาติอันสุดท้าย และประกาศชัยชนะ

ปรากฏว่า ผู้ที่มาวาติกันคือ โคห์เลอร์ โดยที่โรเชร์ให้เข้าพบกับคาเมอร์เลโญโดยลำพัง แลงดอนกับวิตโตเรีย รีบไปหาโรเชร์เพื่อเตือนถึงภัยอันตราย เมื่อไปถึงเขาพบว่า ท่านคาเมอร์เลโญถูกนาบตราแล้ว ด้วยสัญลักษณ์เพชรอิลลูมินาติ
ภายในห้อง พบ โคห์เลอร์ บนรถเข็น โรเชร์เตรียมเข้ามาทำร้ายคาเมอร์เลโญ แต่ถูกชาร์ตรองด์ยิงตาย โคห์เลอร์ถูกทหารองค์รักษ์ยิงตายเช่นกัน ก่อนตายเขามอบกล้องวีดีโอเล็กๆให้แลงดอน และขอให้เขามอบให้กับผู้สื่อข่าว

ขณะนั้นใกล้เวลาเที่ยงคืน อันเป็นเวลาที่ปฏิสสารจะทำลายล้าง ทหารองค์รักษ์รีบนำคาเมอร์เลโญส่งรถพยาบาล แต่เขากลับลุกขึ้นแล้วรีบวิ่งกลับเข้าไปในเซนต์ปีเตอร์ในลักษณะคล้ายคนคลุ้มคลั่ง แลงดอน วิตโตเรีย ชาร์ตรองด์ และนักข่าวอีกสองคน ก็วิ่งตามกลับเข้าไปด้วยเช่นกัน


ภายในมหาวิหารเซนต์ปีเตอร์

คาเมอร์เลโญวิ่งลงคูหาที่อยู่ต่ำลงไปจากระดับพื้นวิหาร ลงบันได ผ่านอุโมงค์ สู่ระดับพื้นล่างลึกลงไป คาเมอร์เลโญบอกกับผู้ติดตามทั้งหลายว่า พระเจ้าบอกกับเขาว่า ปฏิสสารอยู่ตรงที่ฝังศพของนักบุญปีเตอร์ เขานำปฏิสสารกลับขึ้นมาบนพื้นดิน และรีบวิ่งไปที่เฮลิคอปเตอร์

เหลือเวลาอีก 4 นาที คาเมอร์เลโญ นั่งที่คนขับเครื่องบิน แลงดอนแอบหยิบหลอดปฏิสสารแล้วขึ้นนั่งในเฮลิคอปเตอร์ เขาหวังว่าคาเมอร์เลโญจะนำ เฮลิคอปเตอร์ไปใกล้ๆเหมือง แล้วทิ้งปฏิสสารลงไป แต่คาเมอร์เลโญ เพียงแค่บังคับเฮลิคอปเตอร์ให้บินสูงขึ้นไปเท่านั้น

ขณะที่เขายังไม่เข้าใจเหตุผลที่คาเมอร์เลโญไม่บินต่อไป เขากลับเห็นคาเมอร์เลโญหยิบปฏิสสารใส่ลงในกล่อง ล็อคกุญแจ ทิ้งกุญแจออกไป แล้วคว้าร่มชูชีพพร้อมกับกระโดดออกจากเฮลิคอปเตอร์ เขาสับสน งุนงง ในนาทีสุดท้าย เขาคว้าที่กำบังแดด แล้วกระโดดออกจากเฮลิคอปเตอร์ ในขณะที่ปฏิสสารเกิดระเบิดทันที เขาตกลงไปแม่น้ำในสภาพเกือบตาย ส่วนคาเมอร์เลโญตกลงบนยอดหลังคามหาวิหารเซนต์ปีเตอร์ ด้วยความอัศจรรย์ใจของคนทั้งประเทศ จากการรายงานข่าวสดของกลิกและกรุนดิก

แลงดอนได้รับการช่วยเหลือจากหมอ เขาหยิบกล้องวีดีโอของโคห์เลอร์ออกมาดู ทำให้เขาเข้าใจทุกสิ่งทุกอย่าง ที่วัดน้อยซีสตีนเหล่าคาร์ดินัลทั้งหลายต่างให้การสนับสนุนที่จะแต่งตั้งคาเมอร์เลโญเป็นพระสันตะปาปาคนต่อไป แต่มอร์ตาติไม่เห็นด้วยกับการคัดเลือกแบบนี้

ขณะที่เกิดความขัดแย้งในการคัดเลือกพระสันตปาปา แลงดอนก็ปรากฏกายขึ้นพร้อมกับเปิดเผยเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้น จากกล้องวีดีโอที่ได้จากโคห์เลอร์ ซึ่งเป็นการบันทึกการพบกันระหว่างโคห์เลอร์กับคาเมอร์เลโญ

ภายในกล้องวีดีโอแสดงให้เห็นว่า โคห์เลอร์สามารถประติประต่อเรื่องราวทั้งหมดได้ว่า คาเมอร์เลโญได้มาพบกับเลโอนาร์โด เวตรา เมื่อ 1 เดือนก่อนหน้านี้ โดยมาในฐานะตัวแทนขององค์พระสันตะปาปา เพราะ เลโอนาร์โดประสบความสำเร็จในการทดลองเพื่อจำลองเหตุการณ์การสร้างโลกและพระสันตะปาปาอยากให้เปิดเผยเรื่องนี้ต่อสาธารณชน เพราะคิดว่าการค้นพบนี้จะเป็นจุดเชื่อมต่อระหว่างวิทยาศาสตร์กับศาสนา แต่คาเมอร์เลโญกลับคิดว่า การค้นพบนั้นเป็นการเหยียบย่ำศาสนา พระเจ้าไม่สามารถพิสูจน์ได้จากการทดลอง เขาจึงวางแผนการทั้งหมด ติดต่อกับฮัสซัสซิน ขโมยปฏิสสาร ฆ่าเลโอนาร์โดกับพระคาดินัลทั้ง 4

หลังความจริงถูกเปิดเผย คาเมอร์เลโญ ยังยืนยันว่าสิ่งที่ตนทำไปนั้น เพื่อเป็นการเรียกศรัทธาจากประชาชนที่มีต่อพระเจ้า เขายอมรับอีกว่าเป็นคนวางยาพระสันตปาปา เพราะเสียใจผิดหวังคิดว่าองค์ท่านเป็นคนหลอกลวงเพราะพระสันตปาปาได้บอกกับเขาว่า พระองค์เป็นพ่อของเด็กคนหนึ่ง

พระคาร์ดินัลมอร์ตาติเป็นคนที่เล่าความจริงทั้งหมดให้ทุกคนทราบ พระสันตปาปาเมื่อครั้งที่เป็นพระรูปหนึ่ง มีความรักกับนางชีสาวคนหนึ่ง แต่ทั้งคู่ไม่สามารถอยู่ร่วมกันได้ ด้วยความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์ ผู้หญิงสามารถให้กำเนิดบุตรได้โดยการผสมเทียม เธอให้กำเนิดบุตรด้วยวิธีดังกล่าว ซึ่งเป็นบุตรของเธอกับพระสันตปาปา เด็กคนนั้นคือ คาเมอร์เลโญ


จตุรัสเซนต์ปีเตอร์

คาเมอร์เลโญ ไม่อาจรับความจริงนี้ได้ อีกทั้งความจริงที่เขาเป็นคนฆ่าพ่อของตนเอง เขาวิ่งไปที่ระเบียงขององค์พระสันตปาปา แล้วจุดไฟเผาตัวเอง ท่ามกลางสายตาประชาชนจำนวนมาก
พระคาร์ดินัลมอร์ตาติได้รับเลือกเป็นพระสันตปาปาคนใหม่

ชาร์ตรองด์นำของสิ่งหนึ่งจากพระสันตปาปานำมามอบให้ แลงดอน สิ่งนั้นคือ เพชรอิลลูมินาติ แลงดอนกับวิตโตเรียพักผ่อนกันที่โรงแรมเบร์นีนี หลังผ่านเหตุการณ์เรื่องร้ายๆตลอด 24 ชั่วโมงที่ผ่านมา

เก็บตก


ชุดแต่งกายทหารองครักษ์สวิส

ชุดแต่งการทหารองครักษ์สวิสนี้ ในนิยายบอกว่าออกแบบโดย ไมเคิลแองเจิลโล ชุดที่เห็นในรูปนี้เป็นชุดในพิธี ข้างล่างนี้เป็นคำบรรยายชุดแต่งกายนี้เมื่อแลงดอนกับวิตโตเรียพบกับทหารองครักษ์ขับเฮลิคอปเตอร์เพื่อนำคนทั้งคู่ไปวาติกัน
"เสื้อทูนิกฟูฟ่องเป็นลายทางขวางสีฟ้าสลับทอง สวมกางเกงขายาวแบบตัวตลกกับเครื่องหุ้มหลังเท้าเข้าชุดกัน ที่เท้าเป็นแผ่นสีดำหน้าตาเหมือนรองเท้าแตะและเหนือสิ่งอื่นใด เขาสวมหมวกเบเรต์สักหลาดสีดำ"
นาฬิกามิกกี้เมาส์ของแลงดอน
นาฬิกามิกกี้เมาส์รุ่นนักสะสมของแลงดอน ของขวัญจากพ่อแม่ให้กับเขาตั้งแต่ยังเด็ก เป็นนาฬิกากันน้ำและเรืองแสงในความมืด เขาใส่นาฬิกาเรือนนี้เพื่อเป็นเครื่องเตือนใจให้มีหัวใจเป็นหนุ่มอยู่เสมอ

ต้นแบบโบอิ้งเอกซ์-33

โบอิ้ง x-33 ที่นำแลงดอนมา CERN

จบแล้วค่ะ Angels & Demons lunar ใช้เวลาหลายวันทีเดียวในการเขียน blog นี้ นับว่าเป็น blog ที่ใช้ระยะเวลานานที่สุด อ้อ รูปภาพต่างๆ ใน web นี้ เอามาจากเว็บพันทิพโดยคุณชาเขียว และ ก็เว็บของแดน บราวน์เอง ใครสนใจก็แวะไปดูได้ค่ะ

คุณชาเขียว
แดน บราวน์
John Langdon(ผู้ออกแบบ แอมบิแกรมให้แดน บราวน์)