Monday, February 27, 2006

ศึกนอก - ศึกใน

วันนี้นั่งๆทำงานอยู่ ก็มีประกาศไปทั่วทั้งตึกว่า จะมีพนักงานจากองค์การโทรศัพท์เดินทางมาที่ตึก TRUE แต่ยังไม่แน่ใจว่าจะมาทำอะไร มาประท้วงหรือไรอ่ะเปล่า

สาเหตุก็อันเนื่องมาจาก TRUE ชนะคดีการฟ้องร้อง เรียกค่าเชื่อมโยงโครงข่ายระหว่าง TOT กับ TRUE เป็นมูลค่ากว่า 20,000 ล้านบาท แต่อนุญาโตตุลาการตัดสินให้ TOT จ่ายเงินให้ TRUE เป็นจำนวน 9175 ล้านบาท ก็ประมาณ 50 % ของมูลค่า

หลายวันมานี้ มีข่าวลือต่างๆออกมาทำนองว่า พนักงานทรูให้ระมัดระวังตัว พวกเรายังคุยกันเลยว่า ช่วงนี้อย่าใส่เสื้อทรูมาทำงานเพื่อความปลอดภัย

ประกาศมา 2-3 ครั้ง แล้วก็ปิดทางเข้าหน้าตึก และก็ขอความร่วมมือพนักงานไม่ให้ไปหน้าตึก พวกเราก็รอ ลุ้นด้วยอ่ะ ว่าจะมาทำไรกัน

เที่ยงกว่าๆ ก็เห็นรถบัสมา 2-3 คันมาจอดหน้าตึก เห็นพนักงานขององค์การมาจำนวนหนึ่ง แต่ไม่เยอะเท่าไร เห็นว่าเอาพวงหรีดมาวางหน้าตึก พวกเรามองอยู่ไกลๆ ไม่รู้ว่าทำไรกันอีก
สักพัก ก็กลับ เฮ้อ ยังดี ยังไม่มีเรื่องไรร้ายแรง
ศึกใน ดูท่าไม่รุนแรง หวังว่าคงจบแล้วนะ

ช่วงนี้การเมืองร้อนแรง เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา รัฐบาลประกาศยุบสภา ฝ่ายค้านก็แก้เกมด้วยการประกาศไม่ลงรับสมัครเลือกตั้ง ยังประกาศเจตนาเดิมคือให้นายกลาออก

แต่ศึกนอกเนี่ย คงไม่จบลงง่ายๆ
แม้ไม่รู้ว่าสุดท้ายจะจบลงยังไง แต่ lunar ก็ภาวนาขอให้ทุกอย่างจบลงด้วยดี

Saturday, February 25, 2006

Europe in Memories #6

ออกจาก Brussels เรามุ่งตรงไป Luxembourg พี่เอจเป็นโชเฟอร์ตลอด, พี่อั้นเป็นคนดูแผนที่ทางหลวง, ส่วนฉันช่วยดูป้ายต่างๆ พวกเราต้องทำงานกันเป็นทีม ประเทศแถบยุโรปนี้ ถ้าเราขับรถจากเมืองหนึ่งผ่านเข้าไปอีกเมืองหนึ่ง เราจะไม่รู้เลย ไม่เห็นมีการตั้งด่านตรวจ VISA ฉันต้องสังเกตเอาเองว่านี่เรากำลังอยู่ประเทศไหน โดยอาจจะสังเกตจากภาษาที่เขียนติดตามป้ายบอกทาง แล้วก็เดาเอาเองว่า ตอนนี้น่าจะเข้าอีกประเทศหรือยัง คำทีสังเกตได้ คือคำว่า “ทางออก” ภาษาฝรั่งเศส จะเป็น “Sortie” ส่วนภาษาอื่นๆ ก็แล้วแต่ภาษาของประเทศนั้นๆ ถ้ามองเห็นว่าตัวหนังสือแปลกๆ ไม่เหมือนกับที่เห็นมา ก็เดาเอาว่า น่าจะเข้าอีกประเทศหนึ่งแล้วนะ

Luxembourg , Youth Hotelอยู่ข้างล่างสะพาน

ที่ประเทศ Luxembourg นี้ ตอนแรกที่ฉันจะมา ฉันยังนึกไม่ออกเลยว่าจะมาเที่ยวอะไร ดูๆแล้วไม่น่าจะมีสถานที่ท่องเที่ยว แต่พอมาได้สัมผัสบรรยากาศที่นี่ รู้สึกว่าประเทศนี้เป็นประเทศที่สงบเงียบดี ดูผู้คนเขายิ้มแย้มเป็นมิตรดี เราพัก Youth Hotel ใกล้ๆกับสะพานแห่งหนึ่ง เป็นวิวที่สวยงามเหมือนกัน คืนนั้น เราได้กินอาหารจีนที่แสนอร่อย ขับรถเที่ยวรอบๆเมือง ดูๆแล้วคนในเมืองนี้ก็ค่อนข้างเป็นคนที่มีฐานะ ดูจากตึกรามบ้านช่อง ที่ใหญ่โต ดูหรูหรา ตอนกลางคืนประดับไฟสวยดี พวกเราขับรถรอบเมือง ฟังเพลงของ Kenny G เพลง Jasmine Flower เข้ากับบรรยากาศดีจริงๆ

Luxembourg

Luxembourg สำหรับฉันแล้ว ฉันว่าน่าจะได้สมญานาม “ประเทศแห่งสะพาน” มากกว่า ประเทศฮอลแลนด์ เพราะว่าฉันมองไปทางไหนก็เห็นแต่สะพานเต็มไปหมด วิวสวยมากเมื่อมองจากที่สูง ได้เห็นใบไม้หลากสี (เคยเห็นแต่ใน TV) ฉันว่าถ้ามีเวลา ฉันอยากศึกษาเรื่องราวที่เกี่ยวกับประเทศนี้เพิ่มเติม

บ่ายวันพฤหัส หลังจากเดินเที่ยวรอบๆสถานที่พักแล้ว ก็ได้เวลาต้องเดินทางกันต่อ จุดหมายต่อไปของเราคือเมือง Frankfurt ประเทศเยอรมัน ที่เยอรมันนี้ ฉันได้รับ order จากนงฝากซื้อมีดตราคนคู่ ได้ยินว่ามีชื่อเสียง ฉันก็ตั้งใจว่า จะซื้อมีดไปฝากแม่ซะหน่อย พยายามคิดว่า จะซื้อของที่โดดเด่นของแต่ละเมืองกลับไป อ้อได้ยินมาอีกอย่างว่า ที่ตัดเล็บตราคนคู่นี่ก็มีชื่อเสียงเหมือนกัน ฉันคิดอยู่ว่าจะซื้อเหมือนกัน


Frankfurt

เช้าวันศุกร์ เราอยู่ที่เมืองนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะเดินเที่ยวรอบๆเมือง ไม่มีสถานที่ที่ให้ไป เราก็ถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ พอฉันเจอร้านขายของยี่ห้อตราคนคู่ ก็ตรงรี่เข้าไปทันที สืบถามราคามีดที่ต้องการ ในใจก็คิดว่าจะซื้อดีหรือเปล่านะ เดี๋ยวนงบอกว่าแพงไป แต่คิดไปคิดมาก็ตกลงใจซื้อมา ตอนหลังมาคำนวณเป็นเงินไทย ก็แพงเหมือนกัน ส่วนที่ตัดเล็บที่ฉันตั้งใจตอนแรกว่า จะซื้อสัก 10 อันไว้ไปฝากคนอื่นๆ พอเห็นราคาแล้วปรากฎว่า ตกราคาอันละประมาณ 500 บาท ก็เลยคิดว่ากลับไปใช้ของเมืองไทยอันละ 10 บาทก็แล้วกัน

ช่วงหลังที่ฉันไปเที่ยวนี่ ฉันจะพยายามหาซื้อของที่ระลึกของแต่ละประเทศ คือพยายามซื้อของที่เป็นสัญลักษณ์ของแต่ละประเทศ คิดไปคิดมาว่าควรซื้ออะไรดี ที่เป็นของ Souvenir ราคาไม่แพงนัก มองไปมองมา ก็เห็นว่าควรซื้อ postcard กับ stamp เก็บไว้น่าจะดี เวลาไปที่เมืองไหน ฉันเลยต้องพยายามดั้งด้นหา postcard (ซึ่งก็หาไม่ยากนัก เพราะเขามีบริการนักท่องเที่ยวเยอะไปหมด) แต่จะหาซื้อ stamp ก็ต้องไปซื้อที่ post office ซึ่งก็นับว่าฉันคิดไม่ผิดเลย เพราะ postcard นี้เราสามารถหยิบออกมาดูได้บ่อยๆ เหมาะกับคนที่ถ่ายรูปไม่เป็น แต่อยากได้รูปเมือง,วิวสวยๆ ก็ควรซื้อเอาไว้เสียดายอย่างหนึ่ง คือฉันไม่ได้ซื้อ postcard ตั้งแต่อยู่ที่ฝรั่งเศส แต่ไม่เป็นไรหรอก ทุกสิ่งทุกอย่างยังอยู่ในความทรงจำของฉันเสมอ

ออกจาก Frankfurt จุดหมายของเราต่อไปคือเมือง Koln อ้อ ระหว่างทางจากเมือง Frankfurt ไปเมือง Koln นี้จะมีเส้นทางที่เลียบผ่านแม่น้ำไรน์ เป็นภาพบรรยากาศที่สวยงามมาก ด้านซ้ายเป็นแม่น้ำไรน์ ทางขวาจะเป็นภูเขา มีถนนเลียบตลอดทาง อีกฝั่งของแม่น้ำไรน์จะเป็นภูเขาเหมือนกัน แต่มีต้นไม้ใบไม้หลากสีเต็มไปหมด เราขับรถเลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ เราไม่ต้องเปิดแอร์ เปิดแค่หน้าต่างก็รู้สึกเย็นสบาย ลมอ่อนๆ แถมยังฟังเพลง Forever in Love ของ Kenny G ยิ่งให้บรรยากาศที่สุดแสนโรแมนติคจริงๆ

เมือง Koln นี้เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับ โคโลญน์ ก็ 4711 ไง เอาล่ะ ตรงกับจุดประสงค์ของเรา “ที่เมืองไหน มีของเด่นอะไร เราจะซื้อเอาไว้” พวกเรามาถึง Koln ก็เย็นมากแล้ว หลังจากจัดแจงหาที่พัก และอาหารเย็นเรียบร้อย ก็ได้เวลาตระเวนรอบเมือง ที่เมืองนี้นอกจากจะมีโคโลญน์ ที่ลือชื่อ สัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่โดดเด่นมากคือ โบสถ์แห่งหนึ่งชื่อ Koln Cathedral มีความสูง 156 เมตร เป็นโบสถ์ที่ใหญ่โตมโหฬารจริงๆ ดูใหญ่และน่ากลัว ยิ่งถ้ามองในตอนกลางคืนด้วยแล้ว เหมือนโบสถ์ผีสิงในทีวี ตอนกลางคืน เจ้าหน้าที่จะเปิดไฟ สีเขียวๆ ไม่รู้สิดูยังไงก็ดูน่ากลัวจริงๆ พวกเราได้ไปเดินสถานที่คล้ายๆตลาดนัด มีของขายแบบแบกะดินเยอะไปหมด ดูคนที่มาขายเหมือนพวกยิปซี ของที่มาขายก็คล้ายๆกับของที่จตุจักร


Koln Cathedral

เช้าวันเสาร์ เราขับรถไปอีกฟากหนึ่งของเมือง ดูจากแผนที่แล้วเหมือนกับว่ามีสถานที่ที่สามารถเที่ยวได้ แต่ไปถึงดูร้างๆชอบกล พวกเราเลยได้แต่ถ่ายรูป ได้ลงไปสัมผัสแม่น้ำไรน์ (แบบแตะๆ ให้พอรู้ว่าได้มาถึงเยอรมันแล้ว)

หลังจากนั้นเราก็ขับรถกลับเข้าเมือง ว่าจะไปซื้อโคโลญน์กัน พวกเรามัวแต่เดินเที่ยว สืบราคาไปเรื่อยๆ (ตามนิสัยเดิม) จนประมาณบ่าย 2 ก็คิดว่าควรจะซื้อแล้วละ ปรากฏว่า เราเริ่มสังเกตว่าร้านค้าเขาเริ่มปิดกันแล้ว เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้น สอบถามคนแถวนั้นถึงได้รู้ว่า วันเสาร์เขาจะปิดร้านกันบ่าย 2 พวกเราจะขอเข้าไปซื้อโคโลญน์ ร้านต่างๆก็บอกว่าเขาปิดร้านแล้ว พวกเราได้แต่หมดหวัง ไม่รู้มาก่อนว่าเขาปิดร้านกันเร็วขนาดนี้ มัวแต่สืบราคากันอยู่นั่นเอง แต่บังเอิญเราไปเจอร้านขายยาอยู่ร้านหนึ่ง ที่ขายโคโลญน์ด้วย เราเลยได้ซื้อจากที่นี่ แปลกดี ซื้อโคโลญน์จากร้านขายยา

อาหารที่มีชื่อของเยอรมันอย่างหนึ่งก็คือ ไส้กรอกเยอรมัน อันที่จริงแล้ว ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบกินไส้กรอก แต่ไหนแต่ไรมา แต่คิดว่า เอาน่า ไหนไหนมาเยอรมันแล้ว ก็ลองไส้กรอกซะหน่อย ไส้กรอกเยอรมันมีรสชาดอร่อยเหมือนกัน ไม่เหมือนไส้กรอกที่เคยกินมา เห็นพี่อั้นกินเบียร์ด้วย ก็ไหนๆมาเยอรมัน ถิ่นอันมีชื่อเรื่องเบียร์กับไส้กรอกแล้วนี่นา


Amsterdam

ออกจาก Koln โปรแกรมทัวร์ของเราใกล้จะสิ้นสุดแล้ว สถานที่สุดท้ายของเราคือกลับไปที่ Amsterdam คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายของพวกเรา เราเที่ยวมองหา Youth Hotel แต่ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมเราหาไม่เจอ สุดท้ายคืนนั้นเราไปนอนที่สถานที่พักแรมชื่อ The Flying Pig คล้ายๆ Youth Hotel แต่ไม่มีอาหารเช้าให้ อาหารค่ำของคืนนั้น ฉันจำได้ดี เราไปกินอาหารไทยที่ร้านของคนไทยชื่อ Thai Orchids ดีใจจังได้เจอคนไทย กินอาหารไทย อ้อ ได้อ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐด้วย

ฉันกินอาหารไทย ก็เลยคิดถึงเมืองไทยขึ้นมาทันที แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ได้กลับเมืองไทยแล้ว คุยกับเจ้าของร้าน สอบถามเขาถึงสถานที่ที่อยากไป ก็ wind mill กังหันลม มาที่ฮอลแลนด์แล้วต้องมาเห็นกังหันลม กับดอกทิวลิป


Amsterdam เมืองแห่งสะพาน

เช้าวันอาทิตย์ วันนี้จะได้กลับเมืองไทยแล้วซินะ ยังเหลือเวลาอีกประมาณครึ่งวัน เพราะว่าเครื่องบินจะบินออกประมาณ 6 โมงเย็น ช่วงเช้าพวกเราก็เที่ยวในเมือง ถ่ายรูปเก็บไปเรื่อยๆ ใครเหลือฟิล์ม ก็พยายามถ่ายรูปเยอะๆ

พวกเราไปร้านทำเพชร ไปดูเขาทำเพชร เจ้าของร้านใจดีให้พวกเราเข้าไปดูได้ แต่ไม่มีใครซื้อแฮะ ไปในในร้านที่ขายรองเท้าไม้ สัญลักษณ์อีกอย่างของฮอลแลนด์ มีรองเท้าไม้เต็มไปหมด ขนาดต่างๆกัน หน้าร้านยังมีรองเท้ายักษ์เป็นสัญลักษณ์หน้าร้าน พวกเราไปถ่ายรูปกันรองเท้ามีขนาดใหญ่มาก สามารถนั่งลงไปได้เลย


บ้านกังหันลม

ออกจากตัวเมือง พวกเราตั้งใจจะไป wind mill กัน เป็นสถานที่เหมือนทุ่งนาโล่งๆ มีกังหันลมเต็มไปหมด แต่ไม่มีดอกทิวลิปสักดอก ก็เพราะว่า ดอกทิวลิปจะออกดอกตอนช่วงเดือนเมษายน ดังนั้นเราก็เลยไม่เห็นอะไร แต่ไม่เป็นไร เดินดูกังหันลม อ้อยังมี หมู่บ้านสาธิตการทำเนยแข็งอันลือชื่อ ฉันยังได้ลองกินเนยแข็ง รสชาดแปลกดี เราเก็บรูปกังหันลมเป็นแห่งสุดท้าย ที่นี่บรรยากาศดีจริงๆ วิวสวยมาก อากาศเย็น แต่ไม่ถึงกับหนาวมาก เป็นภาพสุดท้ายที่ฉันประทับใจที่สุด

Wind Mill

Wind Mill

เราออกจากที่แห่งนั้น ก็ประมาณบ่ายแก่ๆ ตรงดิ่งไปยังสนามบิน Schiphol ระหว่างทางมีลูกเห็บตกลงมาด้วย เหมือนกับจะอำลาเรา ไปถึงเราก็จัดแจงคืนรถซะก่อน หลังจากนั้นก็ไปเอากระเป๋าที่พวกเราฝากเอาไว้ตั้งแต่วันแรกคืนมา พวกเราต้องทำงานกันอย่างหนักอีกแล้ว ทำอะไรหรือ ก็ต้องแพคกระเป๋าใหม่และต้องรวมของที่พวกเราซื้อกันมาเพิ่มเติม ใครไปสนามบินตอนนั้น จะเห็นกะเหรี่ยง 5 คน ยุ่งอยู่กับการแพคกระเป๋ากันจ้าละหวั่น

เสร็จจากการจัดแจงสัมภาระ ก็ไป check-in แต่โอ้..อนิจจา พวกเราไป check-in กันช้าไป ที่นั่งสำหรับคนไม่สูบบุหรี่เต็มหมด และพวกเราตั้งนั่งแยกกันด้วย หมายความว่า พวกเราต้องนั่งกับสิงห์อมควันไปตลอด 11 ชม. ฝันร้ายจริงๆ

ก่อนขึ้นเครื่อง ยังมีเวลาเหลืออีกหน่อย ฉันต้องไปทำ tax refund ของที่ซื้อมา แต่เป็นเพราะว่าความอ่อนประสบการณ์การใช้บัตรเครดิต คือหลังจากที่ซื้อของด้วยบัตรเครดิต คนขายควรจะให้ใบเสร็จแนบมากับสลิปบัตรเครดิตด้วย ฉันได้เพียงสลิปบัตรเครดิต ก็คิดว่าเป็นใบเสร็จในตัว ทีนี้เวลาทำ tax refund จะต้องเอาใบเสร็จไปทำ ดังนั้นวันนั้น ฉันเลยไม่ได้ทำ tax refund แต่สามารถใช้วิธีส่งไปรษณีย์กลับไปหาเจ้าของร้านได้ แล้วเขาจะส่งเงินกลับมาให้ในภายหลังแทน เย็นวันนั้น ฉันได้ shopping เป็นครั้งสุดท้าย ฉันซื้อน้ำหอมขวดเล็กๆหลายๆขวด ซื้อมา 2 ชุดคือ Christian Dior กับ Givenchy

อยู่บนเครื่องบิน เครื่องบินกำลัง run way ขึ้น ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง ลาก่อน Amsterdam, ลาก่อน ยุโรป ความสนุก, ความสุข ความประทับใจ ช่างเป็นเหมือนความฝันจริงๆ ฉันคงไม่มีวันลืม ถ้ามีโอกาส ฉันจะกลับมาอีก มองกลับมาที่จอหนัง กำลังฉายเรื่อง Speed ดีจริงๆ ฉันยังไม่ได้ดูซะด้วย

ถึงกรุงเทพฯ วันที่ 24 ตุลาคม ต้องไขนาฬิกาปรับเวลากัน (เหมือนเวลา หายไป 6 ชม.) ฉันลงจากเครื่องบิน ด้วยอาการมึน (ควันบุหรี่) เล็กน้อย กลับถึงกรุงเทพฯแล้ว พรุ่งนี้ ชีวิตของฉันจะเป็นยังไงต่อไปนะ

บันทึกวันที่ 15 เมษายน 2541

Europe in Memories #5

วันเสาร์ที่ 15 พวกเรากลุ่มหนึ่งเริ่มทะยอยกลับกัน มี 6 คน อีก 6 คนที่เหลือจะอยู่เที่ยวต่อ ฉันอยู่ในกลุ่มที่จะอยู่เที่ยวต่อ เราอยู่ที่ปารีสต่ออีก 2 คืน พักที่โรงแรมเดิม ทาง Alcatel ใจดีมากเป็นสปอนเซอร์ค่าโรงแรมให้ ช่วง 2 วันที่เหลือนี้ พอดีเพื่อนพี่เอจที่พาพวกเราเที่ยวตอนไปอังกฤษ เขามาค้างกับเราด้วย คือเขาจะมาเที่ยวที่ปารีสนี้ด้วยเหมือนกัน วันนี้เราคิดกันว่าจะไปไหนกันดี แล้วก็ตกลงกันว่าจะไปพิพิธภัณฑ์ Louvre เราไปกัน 3 คนมี ฉัน, เกียร์, พี่เล็ก

พิพิธภัณฑ์ Louvre

ที่ Louvre นี่ใหญ่โตมโหฬารจริงๆ มีสถาปัตยกรรม, รูปเยอะจริงๆ ตอนแรกฉันดูแต่ละรูปก็ค่อนข้างพิถีพิถัน แต่ตอนหลังดูๆแล้วก็เดินๆ ถ้าใครชอบศิลปะ มาที่นี่คงไม่ผิดหวังแน่ เดินดู 1 วันคงไม่หมดหรอก ฉันก็ดูไปเรื่อยๆ รู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง พอดีฉันเห็นทัวร์กลุ่มหนึ่ง เป็นทัวร์คนไทย มีไกด์อธิบายภาษาไทย ฉันก็เลยแอบเป็นลูกทัวร์ของเขา ฟังเขาบรรยายไปด้วย พวกเราอยู่ที่นี่จนค่ำ ผลัดกันถ่ายรูปไปมา ก่อนกลับ ก็ไปถ่ายรูปตรงที่เป็นสัญลักษณ์ของ Louvre เป็นสถาปัตยกรรมแบบปิรามิดแก้ว ถ่ายกันตอนกลางคืน ก็ดูสวยไปอีกแบบ

ภายในพิพิธภัณฑ์ Louvre

วันอาทิตย์ ฉันกับพี่เล็ก ตกลงจะไปเที่ยวที่ Versailles เพราะพี่เล็กยังไม่ได้ไป ส่วนฉันก็ยังเดินไม่ทั่ว เราไปกัน 2 คน ส่วนเกียร์ไปกับกลุ่มพี่เอจ เราไม่ได้เข้าไปในพระราชวังกัน แต่เที่ยวที่สวนดอกไม้ ตกลงคือฉันได้ไปจนครบ ทั้งในวังและในสวนดอกไม้

บริเวณสวนดอกไม้ของ Versailles


วันนั้นอากาศมีหมอกเยอะ ถ่ายรูปออกมาเลยไม่ค่อยสวย ดูมัวๆชอบกล แต่เที่ยวในสวนดอกไม้ก็ให้บรรยากาศดี ได้นั่งรถเลื่อน เขามีบริการไว้ให้นักท่องเที่ยวที่ไม่อยากเดิน เพราะสวนนี้กว้างมาก เราอยู่ที่นั่นกันจนเย็น คิดว่าควรกลับได้แล้ว ก่อนกลับที่พัก ฉันบอกพี่เล็กว่าอยากถ่ายรูปที่ Concorde เห็นมานานแล้วแต่ไม่ได้แวะสักที ฉันกับพี่เล็กก็เลยไปเก็บรูปครั้งสุดท้ายที่นี่ แล้วต่อด้วยแถวๆที่พัก แปลกดีนะ อยู่มานานไม่คิดจะถ่ายรูป มาถ่ายเอาวันสุดท้ายก่อนกลับ

Concorde (จากกล้องพี่เอจ)

เช้าวันจันทร์ที่ 15 ฉันออกจากโรงแรมไปสนามบิน Ch.De Gaulle โดยมีเจ้าหน้าที่จาก Alcatel สาวสวยคนเดิมไปส่งเรา แต่กว่าจะขึ้นเครื่อง นอกจากจะ check-in แล้ว ยังต้องจัดการกับการทำ tax refund ข้าวของต่างๆที่พวกเราซื้อกันมา

เราขึ้นเครื่องไปลงที่ Amsterdam โดยสายการบิน KL328 เวลา 16.25 เมื่อมาถึง Amsterdam เราต้องโบกมือลาพี่เล็ก เพราะพี่เล็กจะกลับกรุงเทพฯเลย ตกลงทัวร์ของเราก็เลยเหลือเพียง 5 คน มีฉัน, พี่เอจ, พี่อั้น, พี่ป๋วย, เกียร์

ที่สนามบิน เราต้องจัดการหารถเช่า ซึ่งเราโชคดีหน่อยที่เราให้ทาง Alcatel ช่วยติดต่อให้ก่อน เลยได้ราคาพิเศษ เราได้รถ Opel ก็พอดีนั่งได้ 5 คน (ไม่ผิดกฎหมาย) หลังจากติดต่อเรื่องรถ เราก็เอากระเป๋าสัมภาระต่างๆ ไปฝากไว้ที่สนามบิน แต่ละคนเหลือเพียงเป้ขนาดย่อมๆ พอใส่เสื้อผ้าสำหรับอีก 5 วันที่เหลือเท่านั้น

วันนั้นกว่าจะออกสนามบินก็เริ่มค่ำแล้ว พี่เอจเป็นโชเฟอร์ขับรถพาพวกเราออกจากสนามบินมุ่งตรงไปเมือง Den Haag ซึ่งอยู่ไม่ไกลจาก Amsterdam นัก โดยมีพี่อั้นคอยดูแผนที่ จุดหมายของเราคือ Youth Hotel โชคดีที่เราไปกันถูกทาง ไม่หลงทางกัน คืนนั้นเราเลยได้พักที่นี่

วันที่ 16 เราไปเที่ยวเมืองจำลอง Madurodam เป็นเมืองจำลองสถานที่ต่างๆของ ฮอลแลนด์ แต่ก่อนถึง Madurodam เราไปเจออาคารหนึ่งทรงแปลกๆ ตอนหลังถึงรู้ว่านี่คือ ศาลโลก นั่นเอง ครึ่งวันนั้นเราเที่ยวกันที่นี่ ที่ประเทศนี้ฉันได้ยินกิตติศัพท์มาก่อนแล้วว่า เป็นประเทศที่ค่อนข้างน่ากลัวเรื่องการปล้น จี้ ขโมย โดยเฉพาะที่เมือง Amsterdam บ่ายๆเราออกจาก Den Haag มุ่งตรงไป Brussels ประเทศเบลเยี่ยม


ศาลโลก

Madurodam

กิจกรรมการท่องเที่ยวของเรา ก็จะเป็นในลักษณะนี้ คือเช้าถึงบ่ายๆ จะเที่ยวที่เมืองนั้นๆก่อน อาหารกลางวันก็กินอาหารพื้นเมือง หรืออาจเป็นพวก “M” หลังจากนั้น ก็ขับรถไปอีกเมืองหนึ่ง ไปถึงก็ตรงไปหาสนามบิน ทำอะไรเหรอ ก็ขอแผนที่ท่องเที่ยวในเมืองนั้น หลังจากนั้น ก็หา Youth Hotel (ตลอดเวลาที่ไปประเทศต่างๆ พวกเราพัก Youth Hotel กันหมด ยกเว้นคืนสุดท้าย) ตบท้ายอาหารเย็นด้วยการกินอาหารจีน (เป็นส่วนใหญ่) หรือกรณีที่ Youth Hotel มีอาหารค่ำ include มากับค่าห้องแล้ว เราก็กินที่นั่นเลย ส่วนอาหารเช้า ที่ Youth Hotel ก็มีบริการอยู่แล้ว ซึ่งไม่บอกก็รู้ว่าคืออะไร ฉันได้กินขนมปังแปลกๆของแต่ละประเทศ บางประเทศก็แข็งๆ, บ้างก็ใส่เมล็ดอะไรก็ไม่รู้ลงไปด้วย, บ้างก็ขนมปังมีสีหม่นๆมีกลิ่นแปลกๆ สรุปแล้วขนมปังฝรั่งเศสที่ฉันเคยคิดว่าไม่อร่อยนั่นแหละ เป็นขนมปังที่อร่อยที่สุดแล้ว

ที่ Brussels นี้ใช้เงินสกุลของประเทศเขาเอง กลุ่มเราไม่มีใครแลกเงินมาก่อนเลย ยกเว้นฉันคนเดียว ฉันไม่ได้แลกมาจากเมืองไทยหรอก ไปแลกตอนอยู่ปารีส ต้องขอบคุณพี่เล็กที่แนะนำให้แลกมาก่อน ทั้งๆที่ต้องเสีย rate 2 ครั้งก็ตาม อาหารเย็น จำได้ว่ากินเจ้าตัว M อีกแล้ว แต่ก่อนที่เราจะกินอาหารค่ำวันนั้น มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เอาพวกเราตกอกตกใจกัน ก็คือว่าในระหว่างทางที่เราไปหาอาหารค่ำกิน เราก็แวะถ่ายรูปไปเรื่อยๆ ทีนี้พี่เอจเขาวางกระเป๋าทิ้งเอาไว้ตอนกำลังถ่ายรูป แล้วลืมหยิบออกมา ซึ่งกระเป๋าพี่เอจนี่เขาใส่ของสารพัด รู้สึกว่าจะมี passport ของพวกเราทั้งหมด เงินทั้งหมดของพี่เอจ และเงินสกุลอื่นของพวกเราบางส่วนที่พี่เอจแลกไว้ตั้งแต่ตอนอยู่กรุงเทพฯ ก็อยู่ที่พี่เอจด้วย โชคดีที่รู้ตัวทัน รีบวิ่งกลับไปเอาโดยที่ยังไม่มีอะไรหายไป หลังกินเจ้า Mac เสร็จ เรา shopping กันนิดหน่อย ซื้อน้ำ, ขนมปัง ของที่จำเป็น แวะเดินรอบๆเมืองก่อนกลับที่พัก


Grand Place

รูปจาก postcard

เช้าวันพุธ เราไปในเมือง หลังจากดูสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว พวกเราก็ไป Grand Place เป็นบริเวณสถานที่ที่มีตึกใหญ่ล้อมรอบ 3 หรือ 4 ด้าน (ไม่แน่ใจ) ตรงกลางจะเป็นสวนดอกไม้ขนาดใหญ่มาก ฉันไม่ได้เห็นสวนดอกไม้ของจริงหรอก เห็นใน postcard เข้าใจว่าจะมีสวนดอกไม้ในบางฤดูกาลเท่านั้น ถัดจาก Grand Place นี้จะมีรูปปั้นที่โด่งดังแห่งหนึ่งของโลก ก็รูปปั้นเด็กฉี่ไง ชื่อว่า Manneken-Pis พวกเราหากันไปมาไม่คิดว่าของจริงจะมาตั้งหลบๆอยู่ในซอยแห่งหนึ่ง พวกเราก็ถ่ายรูปสมใจอยาก เสียดายรูปหลายรูปที่ฉันถ่ายตอนไปเที่ยว 5 วันนี้ อยู่ในกล้องพี่เอจ พี่เอจกวนมากไม่ยอมให้ยืมฟิลม์ ฉันเลยไม่มีรูปจากกล้องพี่เอจ รวมทั้งรูปปั้นเด็กฉี่นี้ด้วย

รูปปั้นเด็กฉี่ Manneken-Pis

ออกจาก Grand Place พวกเราไปสถานที่แห่งหนึ่ง เรียกว่า Atomium เป็นลักษณะคล้ายอะตอม (เหมือนที่เราเรียนในวิชาเคมี) มาต่อกันเป็นโครงสร้าง จริงๆแล้ว Atomium นี้มีขนาดใหญ่โตมโหฬารมาก คืออะตอมหนึ่งๆจะเป็นห้องๆหนึ่งเลย ภายในจะมีนิทรรศการต่างๆ (ทำเหมือนกับไปเห็นมา) จริงๆแล้วฉันไม่ได้เข้าไปข้างในหรอก ได้ยินเขาพูดกัน (ฮ่าฮ่า) พวกเราพอได้ยินว่าต้องเสียค่าผ่านประตู (ที่ค่อนข้างแพงเหมือนกัน) ก็เลยถอยกลับ ได้แต่ถ่ายรูปไปพลางๆ (ทัวร์ประหยัดจริงๆ)

Atomium & Mini-Europe

ไม่ได้เข้าไป Atomium ไม่เป็นไร ใกล้ๆกันนั้นมีเมืองจำลองชื่อ Mini-Europe ซึ่งต่างกับที่ Madurodam ตรงที่ Mini-Europe จะรวมสถานที่ที่สำคัญทั้งหมดในประเทศแถบยุโรป แต่ที่ Madurodam จะมีสถานที่เฉพาะในประเทศฮอลแลนด์เท่านั้น พวกเราก็เข้าไปเที่ยวที่นี่ ก็ดี เหมือนมายุโรปรอบสอง ได้ทบทวนสถานที่ที่ไปมากัน

Mini-Europe

ที่ Brussels นี้ได้ยินมาว่ามีของขึ้นชื่ออย่างหนึ่งคือ chocolate พวกเราเดินเที่ยวรอบๆ เห็นร้านขาย chocolate ก็เลยว่าจะซื้อกลับบ้านซะหน่อย เจ้าของร้านชักชวนให้ลองชิม พวกเราก็ชิมกันใหญ่ คนละก้อน 2 ก้อน หลังจากตกลงว่าจะซื้อละ คนขายยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ หยิบมา 1 ก้อน ชั่งว่าหนักเท่าไรแล้วก็คิดจำนวน chocolate ที่พวกเราซื้อ รวมกับจำนวนทั้งหมดที่ชิมไป คิดราคาออกมา พวกเราก้อ เอ๋อไปเลย

Europe in Memories #4

ในสัปดาห์นั้นเราก็ไปเที่ยวห้างตามเรื่องตามราว มีเย็นวันหนึ่ง เราไปโบสถ์แห่งหนึ่ง ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงชื่อ Scare-Cceur บริเวณรอบๆโบสถ์นี้จะมีของที่ระลึกขายที่เด่นชัดที่สุดจะเป็น หินสีต่างๆเอามาทำเป็นสัญลักษณ์ของปารีส เชน หอไอเฟล, ประตูชัย, Notre Dame, Scare-Cceur ไว้ขายเป็นของที่ระลึก นอกจากนี้บริเวณแห่งนี้จะมีจิตรกรมาวาดรูปให้กับนักท่องเที่ยวไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย แต่เห็นฝีมือแล้ว ไม่อยากให้วาดเลย

ฉันซื้อหนังสือมา 1 เล่ม ชื่อ “ A complete Guide for Visiting PARIS” ไม่รู้ว่าสายเกินไปหรือเปล่า จริงๆแล้วต้องศึกษาหาข้อมูลก่อนที่จะมาเที่ยว แต่ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นของที่ระลึกจากปารีสก็แล้วกัน


Scare-Cceur

สุดสัปดาห์ ได้เวลาไปต่างประเทศกันอีกแล้ว คราวนี้เราจะไปสวิสเซอร์แลนด์กัน ประเทศที่หลายๆคนบอกว่าสวยที่สุด, โรแมนติคที่สุด เราไปกัน 9 คน ขาด อ๋อ, นอต, พี่เล็ก(ชาย) คราวนี้เราไปกัน 3 วัน 4 คืน นอนบนรถไฟ 2 คืน อีก 2 คืนไปพักที่ Youth Hotel

Titlis

วันแรกเราไปเที่ยวที่เทือกเขา Titlis ขึ้นกระเช้าไป แต่คราวนี้ไม่โหดเหมือนตอนไป Chamonix อาจเป็นเพราะว่าความสูงน้อยกว่า แต่ความหนาวไม่น้อยไปกว่ากันเลย แถมมีลมพัดอีก ที่นี่ฉันได้สัมผัสหิมะเป็นรอบสองได้ลงไปนอนเล่นบนหิมะ หนาวเหน็บมาก หูชาไปหมด เก็บรูปได้เยอะเลย (คราวนี้เรามีตากล้องไปด้วย)


คืนนั้นฉันได้พักที่ Youth Hotel เป็นครั้งแรก เราแยกห้องชายหญิงกัน ห้องที่ฉันพักนอกจากจะมีพวกเราแล้วยังมีสาวจากชาติอื่นๆอีก เราต้องปูที่นอนเอง ทางโรงแรมจะมี bed sheet (ผ้าปูที่นอน) ให้ ตอนเช้าเราต้องถอดเอา bed sheet ลงมาก่อน check-out ด้วย อ้อ. ฉันได้ซื้อมีด Victorinox รุ่น standard มา 1 อัน กะว่าจะไว้ใช้เอง เห็นว่าราคาไม่แพง 17 ฟรังก์สวิส ประมาณ 340 บาท แถมยังมีสลักสัญลักษณ์ Youth Hotel ไว้ด้วย

เมือง Zermatt

โปรแกรมการเดินทางในวันต่อไป ฉันจำไม่ค่อยได้ เพราะอะไรเหรอ ก็เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วพี่อั้นจะเป็นคนจัดโปรแกรมทัวร์ จำได้ว่าเตรียมตัวจะไปเทือกเขาอีกแห่งที่อีกเมืองหนึ่ง เราเสียเวลาส่วนใหญ่กับการเดินทางมาก การท่องเที่ยวในสวิสนี้ ต้องมีการเตรียมตัวมาดี (รวมทั้งการเตรียมเงินมาอย่างเพียงพอด้วย) ต้องมีการหาข้อมูลมาอย่างดี เช่น การใช้ Eurial Pass ในสวิสนี้ แทบจะใช้ไม่ได้เลย รถไฟหลายแห่งจะเป็นของเอกชน เขาจะไม่รับ Eurial Pass แต่เขาจะรับ Swiss Pass ซึ่งเราไม่รู้มาก่อน ก็เลยต้องเสียค่าปรับไปหลายฟรังก์สวิสเหมือนกัน

ค่าครองชีพที่นี่สูงมาก เราไปกันไม่กี่วัน เจ้าปั๋งหมดเงินไปเป็นหมื่น เพราะไม่ได้ทำ Eurial Pass มา นี่แค่เฉพาะค่าตั๋วรถไฟ, ค่าที่พัก, ค่าอาหาร เท่านั้นเอง สาเหตุนี้เองที่ทำให้เราต้องงด, เปลี่ยนโปรแกรมทัวร์หลายๆอย่าง เพราะสู้ราคาไม่ไหว

สำหรับทัวร์วันนี้ เราไปเมืองหนึ่งแล้วก็เปลี่ยนโปรแกรมทัวร์ไปอีกเมืองหนึ่ง (เสียดาย ไม่ได้จดรายละเอียดไว้) วันนั้นเราเดินทางไปมาเก็บรูปไปมารู้สึกจะสิ้นสุดที่เมือง Zermatt มีเทือกเขาชื่อ Matterhorn เป็นเทือกเขาที่สูงมาก นับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ที่เห็นก็สามารถจำได้

พวกเราก็เที่ยวดูของที่ขายกัน บางคนก็ดูนาฬิกา, มีด Victorinox ฉันก็ดูมีดนี้เพราะว่าพี่สุนทรฝากซื้อมา ดูไปดูมาก็เลยซื้อไปเลยเพราะว่าเขามีบริการสลักชื่อให้ฟรีด้วย ที่นี่เขาดีอย่างคือ เขาจะสลักชื่อให้ในด้ามมีด ไม่ว่าเราจะซื้อจากร้านเขาหรือไม่ ถ้าเป็นมีด Victorinox ของแท้เขาจะมีบริการฟรีให้ ฉันก็เลยเอามีดที่ซื้อไว้มาสลักชื่อซะเลย

เที่ยวที่สวิสหลายวัน อาหารที่กินส่วนใหญ่ พวกเราก็จะเข้าร้านที่มีตัว “M” ก็ แมคโดนัลล์ไง คิดเสียว่าเป็นอาหารที่กินง่ายที่สุด มีมากที่สุด และที่สำคัญ ประหยัดที่สุดด้วย คืนนั้น พวกเราก็ไปพักที่ Youth Hotel เหมือนเดิม แต่คราวนี้ เขามีห้องให้พวกเราพักได้ทั้งหมด พวกเราเลยพักรวมกันหมด ได้ข่าวดีอย่างหนึ่ง คือทางโรงแรมบอกว่า มีอาหารเย็นให้ด้วย พวกเราดีใจกันใหญ่ เพราะไม่ต้องไปกินเจ้าตัว “M”

คืนนั้น พวกเราได้กิน มักกะโรนีราดด้วยน้ำซุปต้มด้วยหมูหรือเนื้อ (ไม่แน่ใจ) พวกเราหิวกันมาก แต่ละคนตักกันเยอะมาก กินอย่างรวดเร็ว (เหมือนกลัวใครแย่ง) เจ้ามักกะโรนีนี่แปลกอยู่อย่าง คือถ้าเรากินเร็วเกินไป เราจะรู้สึกอิ่มเร็ว (แบบอืดๆ) พวกเราทุกคน ตอนแรกก็ speed ดีหรอก พอกินไปได้สักพัก speed เริ่มตกลง เจ้าปั๋ง แซวพี่เอจว่า “ ไง พี่เอจ ไม่ไหวแล้วเหรอ” พี่เอจ แกคงกลัวเสียฟอร์ม บอกว่า “ยังหรอก ถ้ามีโค้กให้กิน ก็กินได้อีก” ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นไปหยิบโค้กที่ห้องนอน ระหว่างนั้น เจ้าปั๋งก็เลยแก้เผ็ด โดยการเติมมักกะโรนีและน้ำซุปลงไปในจานของพี่เอจอีก แต่เพื่อความสมจริง จะไม่ใส่มากเกินไป พวกเราหัวเราะกันใหญ่ ตัวฉันเองก็ขำมาก แต่ต้องพยายามสงบสติอารมณ์ พอพี่เอจมา ก็ไม่ได้เอ๊ะใจ สุดท้ายเขาก็กินมักกะโรนีจนหมดหลังจากที่กินโค้กไปแล้ว เยี่ยมจริงๆ ตัวฉันเองต้องพยายามเก็กหน้าสุดๆ ก็กลัวหัวเราะออกมานะซิ


เทือกเขา Matterhorn

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราตื่นขึ้นมา มองไปที่หน้าต่าง วิวสวยมาก เพราะว่าเมื่อมองออกไปจากที่นี่ จะเห็นเทือกเขา Matterhorn ที่สวยมาก อากาศหนาว พวกเราออกไปเดินเที่ยวรอบๆบริเวณที่พัก เก็บรูปกันไป สายๆก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ คราวนี้เราไปเมืองโลซานน์ ไปดูน้ำพุเจนีวา เป็นน้ำพุที่สูงที่สุดในโลก เดินเลียบทะเลสาบเจนีวา แต่ไม่ยักกะเห็นนาฬิกาดอกไม้ (สงสัย เพลิดเพลินกับ action ถ่ายรูป) ออกจากเจนีวา ก็เกือบเย็น ต้องรีบไปขึ้นรถไฟกลับปารีสซะแล้ว ลาก่อน สวิสเซอร์แลนด์ ดินแดนอันแสนสวย

เมืองโลซานน์

น้ำพุเจนีวา

กลับสู่ปารีส เช้าวันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม วันนี้เราต้องไปอีกเมืองหนึ่ง ไปดูโรงงานอีกแห่งหนึ่งของ Alcatel ที่เมือง Cherbourg คือไปวันนั้นเลย (พวกเรานี่ ชีพจรลงเท้าจริงๆ) กลับเข้าที่พัก ก็แค่ไปเอาเสื้อผ้า แล้วก็นั่งรถไฟไปกัน

เมือง Cherbourg นี้ก็เป็นเมืองชายทะเล พวกเราค้างกันที่นี่ 1 คืน คืนนั้น พวกเราได้กินอาหารเย็นเป็นอาหารทะเล (มื้อเยี่ยม) ค่ำหน่อยก็พากันออกไปเดินดูรอบเมือง มีร้านขายของเยอะไปหมด ฉันเริ่มดูแผนที่คล่องแคล่ว อยากไปที่ไหน ถึงแม้ไม่รู้จัก ก็ใช้แผนที่นี่แหละ



วันอังคาร พวกเรากลับปารีสอีกครั้ง เวลาของพวกเราใกล้หมดแล้วล่ะ วันศุกร์จะเป็นวันสุดท้าย พวกเราก็มาคิดกันว่ายังมีที่ไหนที่ยังไม่ได้ไปมั่ง มองไปมองมา ก็พบว่า เรายังไม่ได้ไปปีนหอไอเฟลกันเลย พลาดได้ยังไงเนี่ย ก็เลยตกลงกันว่า เย็นวันหนึ่งเราจะไปปีนหอไอเฟลกัน แต่พวกเราไม่รู้กันมาก่อนว่า หอไอเฟลจะปิดตอน 6 โมงเย็น พวกเราไปกันถึงเวลา 18.05 น. คือช้าไปประมาณ 5 นาที เท่านั้นเอง แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ขึ้นไป สรุปแล้วก็คืออดขึ้น ได้แต่ถ่ายรูปรอบๆฐานหอไอเฟลเท่านั้น

Europe in Memories #3

พวกเรามาถึง Paris โดยรถไฟ TGV ที่แล่นด้วยความเร็วเหมือนเดิม มาถึง Paris คราวนี้เจ้าหน้าที่ Alcatel ที่มาต้อนรับเราเป็นสาวสวย แต่กว่าที่พวกเราจะออกจากสถานีก็เสียเวลาไปพักหนึ่ง ก็พี่อั้นนะซี เตรียมตัวจะไปสเปนคนเดียวในคืนนี้ ก็เลยจัดแจงหาตั๋วรถไฟอยู่

ออกจากสถานีรถไฟตรงดิ่งไปที่โรงแรมเดิมที่เคยพักในวันแรกที่มา Paris คราวนี้เราได้พักห้องที่ใหญ่กว่าเดิม สำหรับพรุ่งนี้พวกเรามี program กันเรียบร้อยแล้ว ทาง Alcatel ใจดีมากเลย พวกเราบอกว่าอยากไปเที่ยว Euro Disneyland ทาง Alcatel ก็ให้ เงินเป็นค่าตั๋ว และค่าอาหารนิดหน่อย เป็นอันว่าวันเสาร์ที่ 24 พวกเราก็ได้แปลงร่างสวมวิญญาณเด็กไปเที่ยว Euro Disneyland กัน งานนี้ขาดแต่พี่อั้นคนเดียว


Euro Disneyland

อันที่จริง Disneyland ฉันก็เคยไปมาแล้วตอนไปญี่ปุ่น แต่ยังนึกถึงความมันส์ไม่หาย ก็เลยอยากไปอีก อยากเปรียบเทียบดูด้วยว่า Disneyland แต่ละที่จะเหมือนกันหรือเปล่า ผลสรุปก็คือ คล้ายๆกัน คือ คนเยอะเหมือนเดิม เวลาจะเล่นเครื่องเล่นที่ฮิตฮอต ก็ต้องต่อคิวกันเป็นชั่วโมง และก็ได้เล่นประมาณ 10 นาทีเท่านั้นเอง

ที่นี่จะมีการแบ่งเป็นหลายๆ land เช่น Adventure Land, Frontier Land, Fantasy Land, Tomorrow Land เครื่องเล่นหลายอย่างเคยเล่นมาแล้ว เช่น Splash mountain สนุกมากเลย ตอนนั่งไปที่สูงๆแล้วเครื่องตกลงมาข้างล่าง ได้เข้าบ้านผีสิง เขาทำดีมากเลย, small world เป็นเรือเด็กๆให้นั่งเล่นไปภายในโลกใหม่ที่สมมติว่าเป็นโลกแห่งความสุข ภายในมีตุ๊กตาของหลายๆประเทศเต้นระบำไปมา ฉันมองหาและก็เห็นตุ๊กตาประเทศไทยด้วย, ไปดูหนัง 360 องศา, ดู Michael Jackson แบบ 3 มิติ, เครื่องเล่นแบบ Simulator, นั่งเรือโจรสลัด etc.



มีเครื่องเล่นแบบหนึ่งที่ตอนแรกไม่คิดว่าจะเล่น แต่ก็ลองดูน่า เป็นถ้วยให้คนเข้าไปนั่งประมาณ 3-4 คนต่อถ้วย ถ้วยนี้จะหมุนใน 3 ระนาบ ดูดูแล้วก็คล้ายกับบ้านเรา ไม่ค่อยน่าสนใจ แต่ก็ลองเล่นดู

พวกเรา 10 คน นั่งกัน 2 ถ้วย มีพี่เอจกับอ๋อที่เป็นคนหมุนถ้วยให้สูงขึ้น ยิ่งหมุนมาก ถ้วยจะเหวี่ยงขึ้นสูงมาก 2 คนนี้คงประชันอะไรสักอย่าง แต่กรรมตกอยู่ที่คนนั่งที่เหลือ ฉันกับนงสนุกมาก นั่งหัวเราะเคล้าน้ำตาตลอด ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าขำอะไรนักหนา แต่ขำจริงๆ แถมน้ำตาไหลพราก พอเล่นเสร็จ เดินลงมารู้สึกว่าโลกนี้หมุนเร็วจัง เพื่อนคนอื่นเห็นฉันน้ำตานองหน้า เขาคิดว่าฉันคงกลัวมาก ฉันบอกว่า ฉันสนุกมากต่างหากล่ะ


Disney Land Shop

เครื่องเล่นที่สนุกสุดยอดเห็นจะเป็น Indiana Jone ยิ่งถ้าใครนั่งอยู่ที่หัวแถวจะสนุกมากจริงๆ กลางคืน จะมี Electric parade เป็นพาเหรดจากนักแสดงตัวการ์ตูนทั้งหลายของ Walt Disney ประดับประดาด้วยไฟจำนวนมาก คืนนั้นกว่าจะออกจาก Disney land ก็ดึกเหมือนกัน พวกเรากลัวอยู่อย่างเดียวคือ กลัวรถไฟจะหมด เลยต้องจำใจกลับ ทั้งๆที่มีเครื่องเล่นอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้เล่น


เช้าวันอาทิตย์ที่ 25 พวกเราไปโบสถ์เก่าแก่แห่งหนึ่งของ Paris ชื่อ Notre-Dame เป็นโบสถ์ที่มีความสูง 141 เมตร สร้างในปี ค.ศ. 1420 – 1439 ช่วงที่เราไปภายนอกโบสถ์กำลังมีการซ่อมแซมกันอยู่ ก็เลยถ่ายรูปมาไม่ค่อยสวยนัก

โบสถ์นี้ใหญ่มาก ภายในโบสถ์ก็ดูมืดๆทึมๆ จุดเด่นของโบสถ์นี้คงเป็นกระจกสีที่สวยงาม พวกเราอยู่ในโบสถ์กันไม่นานนักก็ออกมาเที่ยวข้างนอกต่อ นอกโบสถ์ จะมีการแสดงเลี้ยงชีพของคนบางกลุ่ม ฉันไปนั่งดูอยู่นานเหมือนกัน คือเขาจะมีการแสดงต่างๆนานา ส่วนใหญ่จะเป็น one man show เป็นลักษณะคนดูล้อมวงเข้าไป แล้วเขาจะแสดงความสามารถของเขา เมื่อการแสดงจบ ก็มีการเรี่ยไรเงิน การแสดงแบบนี้มีค่อนข้างเยอะเหมือนกัน


Notre-Dame

กระจกสี

พี่พี่บางกลุ่มก็ไปล่องเรือเล่นในแม่น้ำแซนน์ แต่ฉันไม่ได้ไป เสียดายเหมือนกัน ทำไมไม่ไปนะ เที่ยววันนั้น พี่ป๋วยและพวกเราได้รับบทเรียนจาก Notre-Dame เรื่องการใช้ชีวิตใน Paris เพราะว่าพี่ป๋วยถูกมือดีล้วงกระเป๋าไป พวกเรากลัวกันมาก เพราะเพิ่งเข้า Paris ได้ 2 วันเท่านั้น ก็เกิดเรื่องแล้ว

เย็นนั้นพวกเราได้ไปทานอาหารไทยจากการแนะนำของอีกกลุ่มหนึ่ง บ๋อยที่ร้านอาหารนี้พูดภาษาไทยได้นิดหน่อย รับ order ภาษาไทยได้ พวกเราก็เลยสั่งอาหารไทยกันแบบสบายใจ แถมตอนกลับก็เดินจ่ายตลาดด้วย แถวนั้นมีของขายเป็นของไทยๆหลายอย่าง ก็เลยซื้อกลับไปทำกินที่โรงแรม

เช้าวันจันทร์ วันแรกของการไปอบรมที่ Alcatel Telspace พวกเราไปโดยขึ้นรถไฟไป ไม่มีการขับรถเหมือนที่ Lannion ตั๋วรถไฟเราจะได้เป็นสัปดาห์ ในหนึ่งสัปดาห์สามารถใช้ตั๋วนี้ไปไหนก็ได้ ส่วน phone card ยังคงได้ 2 ใบต่อสัปดาห์เหมือนเดิม

อาหารกลางวันเราจะกินที่นี่ทุกวัน เพราะไม่สามารถกลับไปทำกินที่โรงแรมได้ และอีกอย่างที่นี่เขาจะไม่ได้ให้เงินเหมือนที่ Lannion แต่จะให้เป็น card แทน พวกเรากินกันอย่างเยอะมาก แถมยังมีการติดไม้ติดมือกลับมาทุกวัน ฉันก็เอากลับมา ส่วนใหญ่จะเป็น โค้ก, ผลไม้จำพวกแอปเปิ้ล และก็ ซอสมะเขือเทศเป็นซองๆ ทำไมต้องเอาซอสมะเขือเทศกลับมานะหรือ ก็เพราะว่าที่ประเทศแถบนั้น เวลาเราไปกินพวก แม็คต่างๆ เขาไม่มีซอสให้ คือมี แต่ว่าเราต้องซื้อ ไม่ได้แจกฟรีเหมือนบ้านเรา ดังนั้นจากประสบการณ์บวกกับความงก ก็เลยต้องเอาซอสกลับมาบ่อยๆ ส่วนผลไม้นั้นก็เอาไว้กินเวลาเดินเที่ยว ประทังความหิวไปก่อน (save จริงๆกลุ่มนี้)

ในระหว่างสัปดาห์หลังเลิกเรียน พวกเราก็จะไปเดินเที่ยวตามห้างต่างๆ ห้างที่ไปมากที่สุดเห็นจะเป็น Printemps ห้างนี้มีสาขาเยอะมาก เคยมาเปิดสาขาที่ประเทศไทยด้วย พี่เอจมีบัตรลดของห้างนี้ด้วย เขาเคยทำตอนอยู่ที่เมืองไทย ปรากฎว่าเอาไปลดได้ถึง 10% ทั้งๆที่ตอนเขาทำบัตรนี้เสียเงินเพียง 100 บาทเอง นอกจากเดินเที่ยวห้างนี้แล้ว กิจกรรมหนึ่งที่ทำมากคือลองกลิ่นน้ำหอม และสืบราคาน้ำหอมจากร้อนต่างๆ รู้สึกว่าเจ้าอ๋อจะเชี่ยวชาญที่สุด (และเจ้าอ๋อนี่แหละเป็นคนที่ซื้อน้ำหอมมากที่สุด หมดเป็นหมื่น) ส่วนใหญ่ฉันก็จะเดินเที่ยว ยังไม่ได้ซื้อของอะไรมากนัก สืบราคาไปก่อน โชคดีที่ไม่ค่อยมีคนฝากซื้อของ มีแต่ของที่ต้องซื้อไปฝากญาติๆ เพื่อนๆ พี่ๆ เท่านั้นเอง และมีที่เขาฝากมาเพียง 1-2 ชิ้นเท่านั้น

สุดสัปดาห์ กลุ่มพี่เอจเขาวางแผนการณ์จะไปเที่ยวอิตาลีกัน ไปกัน 5 คน ฉันไม่ได้ทำ VISA มา ก็เลยไม่ได้ไป แต่มีโครงการณ์ที่จะไป Chamonix Mont Blanc ตอนแรกจะไปกับนง 2 คน คนอื่นที่เหลือไม่ยอมไปกัน แต่สุดท้ายพี่รังสียอมไป สงสัยเป็นห่วงเรา 2 คน ตกลงเราไปกัน 3 คน


ตัวเมือง Chamonix Mont Blanc

ออกจาก Paris คืนวันศุกร์ที่ 30 นั่งรถไฟไป 1 คืน ใช้บัตร Eurial Pass เมืองนี้อยู่ชายแดนของฝรั่งเศสติดกับสวิสเซอร์แลนด์ ไปถึงเช้า อากาศค่อนข้างหนาว ดูอุณหภูมิประมาณ 0 องศา เห็นหิมะอยู่ไกลๆ เมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวจริงๆ หลายๆอย่างอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว มีของที่ระลึกขายเยอะไปหมด ตอนแรกเรากะว่าจะค้าง 1 คืน แต่ดูไปดูมา ไม่มีที่เที่ยวที่อื่นอีก ก็เลยไม่ค้าง

สอบถามเจ้าหน้าที่เขาบอกว่า กระเช้าที่จะไปเทือกเขานี้ ไปได้สูงสุดที่ยอดเขา Alguille Du midi มีความสูง 3842 เมตร พวกเราก็ตกลงจะขึ้นไป ขึ้นไปถึงยอดเขานี้ หนาวมาก เป็นครั้งแรกที่ฉันได้สัมผัสหิมะ มองไปทางไหนขาวโพลนไปหมด ตอนแรกยังไม่รู้สึกอะไร หนาวอย่างเดียว ต่อจากที่นี่มีทางเดินขึ้นไปชมวิว สูงขึ้นไปอีก ฉันก็ขึ้นไป แต่ให้ตายเถอะ ทำไมรู้สึกว่าเหมือนจะหมดแรง หายใจไม่ออก ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยเท่านี้มาก่อน เพราะว่า ยิ่งสูงขึ้นไป อากาศจะเบาบางลง เราต้องการออกซิเจนมาก แต่ในขณะเดียวกันออกซิเจนกลับมีน้อย เลยทำให้รู้สึกเหมือนกับจะหมดสติไป วันนั้น ดีใจจังที่กลับลงมาได้อย่างปลอดภัย ไม่เป็นลมไปซะก่อน


ยอดเขา Alguille Du midi


สัมผัสหิมะครั้งแรก

ตกลงคืนนั้น เราก็ขึ้นรถไฟกลับปารีส คืนนั้นในรถไฟ เป็นคืนที่ทรมานมากอีกคืนหนึ่ง รู้สึกว่าบนรถไฟจะไม่ได้เปิด heater อากาศหนาวมาก ฉันนอนไม่หลับเลย กลับมาถึงปารีสเช้าวันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม รู้สึกเพลียมาก มีโปรแกรมจะไปเที่ยวพระราชวัง Versailles กันต่อ แต่คราวนี้ไปกันหมด 7 คน (กลุ่มพี่เอจยังไม่กลับจากอิตาลี)

สวนดอกไม้ใน Versailles

Versailles เป็นพระราชวังที่ใหญ่โตมโหฬารจริงๆ นอกจากนี้ ยังมีสวนดอกไม้ที่สวยมาก และกว้างขวางมาก ฉันเดินเที่ยวภายในพระราชวัง มีรูปวาดเยอะมาก ดูไม่หมดหรอก ภายในวันเดียว มีห้องที่สวยมากเป็นห้องกระจก มีโคมไฟตลอดทางเดินของห้องนั้น ตามผนังจะมีภาพวาด ฉันสังเกตอย่างหนึ่งและคิดว่า คนสมัยก่อนนี่ต้องชอบหญิงสาวรูปร่างอวบๆแน่เลย เห็นแต่ละรูปที่วาด ถ้ามีสาวอยู่ในรูปจะอวบๆทั้งนั้น

ห้องกระจกที่มีชื่อเสียง

ที่ Versailles นี่เวลาเราจะเที่ยวแต่ละที่ เขาจะเก็บค่าผ่านประตูหมด ไม่ใช่ว่าเก็บครั้งแรกแล้วเที่ยวได้หมด วันนั้นฉันไม่ได้เที่ยวสวนดอกไม้ เพราะรู้สึกว่าตัวเองจะเดินไม่ไหวแล้ว เห็นแต่เจ้าปั๋งคนเดียวที่ได้ไปสวน ที่นี่ไม่ค่อยได้รูปสวยเท่าไร เพราะตากล้องมือหนึ่ง(พี่เอจ) ไม่ได้ไป ก่อนกลับ พอดีเห็นเขาขายโปสการ์ดเป็นแบบรวมปารีส ก็เลยคิดว่า ซื้อเก็บไว้ก็ดีนะ ก็เลยซื้อมา 1 ชุด มีประมาณ 10 กว่าแผ่น

Europe in Memories #2

กลับจากเที่ยวที่ DINAN รุ่งขึ้น เราต้องจัดการกับสถานที่พักของกลุ่มที่เหลือ สุดสัปดาห์เราก็วางแผนกันว่าจะเริ่มทัวร์ต่างประเทศกันแล้ว โดยเราจะไปประเทศอังกฤษก่อน เราเริ่มเดินทางบ่ายวันศุกร์ที่ 9 กันยายน คือว่าส่วนใหญ่แล้วประเทศแถบยุโรปนี้ เขาจะไม่ทำงานกันในวันศุกร์บ่าย เหมือนเป็นธรรมเนียมไปแล้ว พวกเราเลยได้โอกาส กลับบ่ายๆวันศุกร์ กลับถึงบ้านก็กินอะไรนิดหน่อย เอากระเป๋าเสื้อผ้ายัดใส่รถ จุดหมายของพวกเราคือท่าเรือ CEAN PORT อยู่อีกเมืองหนึ่ง ไกลเหมือนกัน

พวกเราขับรถกันไป 3 คันเหมือนเดิม ใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าไปถึง เพราะไม่รู้จักทาง และต้องรอกันไปมาด้วย ไปถึง CEAN PORT ได้ขึ้นเรือที่จะพาเราไปประเทศอังกฤษ เป็นเรือลำใหญ่เหมือนกัน พวกเราต้องนอนกันที่นี่ 1 คืน บนเรือก็มีสถานที่ให้เดิน shopping พวกขา shop ก็ชอบไปเดินกัน ฉันก็ไปเดินเหมือนกัน ดูของเทียบราคาไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าจะดูอะไร ก็กลับมานอน ที่ที่พวกเรานอน ก็เป็นที่นั่งธรรมดา เลยนอนลำบากมาก และยิ่งนอนบนเรือด้วย คือบางครั้งเรือก็โคลงไปมา ฉันรู้สึกหลับๆตื่นๆทั้งคืน รุ่งเช้า ได้ยินพวกเราแซวกันว่า เอ๊ะ เมื่อคืนได้ยินใครบางคนละเมอว่า “สุพรรณหงษ์ ทรงภู่ห้อย…” ถามกันไปมาก็รู้ว่าเป็นเจ้าปั๋งเอง


หอนาฬิกา Big Ben



ไปถึงอังกฤษเช้าวันเสาร์ที่ 10 ที่นี่อากาศค่อนข้างเย็น ก็เป็นประเทศที่เป็นเกาะนี่นา ที่นี่เวลาจะช้ากว่าประเทศฝรั่งเศส 1 ชม. เราเลยต้องปรับนาฬิกากัน อยู่ที่นี่ค่อยยังชั่วหน่อยเรื่องภาษา สื่อสารกับคนที่นี่ได้ง่ายกว่าที่ฝรั่งเศส เรามาถึงขึ้นที่ท่าเรือ PORTSMOTH ต้องมีการตรวจกันเล็กน้อย

ออกจากท่าเรือก็มารอรถเมล์ที่จะพาเราเข้าไปในเมือง พี่เอจเขานัดกับเพื่อนของเขาที่มาเรียนที่นี่ให้ช่วยพาเที่ยว โดยนัดกันที่สถานีรถไฟในเมือง หลังจากที่พวกเราเจอเพื่อนพี่เอจ ก็เริ่มการตระเวนทัวร์ เริ่มจากไป Tower Bridge และก็ไปอีกหลายๆที่ เสียดายฉันไม่ได้จดเอาไว้ คือตอนนั้นรู้สึกงงๆ เขาพาไปไหนก็ไป จำไม่ค่อยได้ แต่ก็ถ่ายรูปเก็บมาตามสถานที่ต่างๆที่ไป

และก็ไปสถานที่ shopping ที่ดังที่สุดของอังกฤษ ก็ Mark & Spensor ไง ฉันซื้อเครื่องสำอางค์มานิดหน่อย เรา shopping ที่นี่นานเหมือนกัน และก็ไป shopping แถวๆนั้นด้วย หลายคนซื้อรองเท้า Next ที่โด่งดัง ส่วนฉันไม่ค่อยได้ซื้ออะไร อ้อ.. ซื้อถุงมือหนังแบบผู้หญิงมา 1 คู่ราคา 4.99 ปอนด์ ประมาณ 200 บาท กะเอาไว้ว่าจะเอาไปใช้ที่สวิสเซอร์แลนด์


วันนั้นเราไปกันหลายที่ เราได้พบกับคนไทยคนหนึ่งโดยบังเอิญ ตอนอยู่ในรถไฟ เป็นพี่ผู้หญิงมาเรียนที่นี่ เขาได้ยินพวกเราพูดภาษาไทยกัน ก็เลยเข้ามาทัก รู้สึกเขาจะดีใจมาก เพราะว่าไม่ได้พูดภาษาไทยมานานแล้ว ตกเย็นพวกเราก็เตรียมกลับไปหาสถานที่พัก เพื่อนพี่เอจเขาจัดการหาที่พักเป็นแบบที่เรียกว่า B&B ย่อมาจาก Bed and Breakfast คือจะเป็นที่พักแบบที่เขาให้พักชั่วคราว 1 หรือ 2 คืน และจะมีอาหารเช้าไว้ให้ด้วย จำราคาไม่ได้เหมือนกัน เมื่อเราได้ที่พักแล้ว วันนั้นเราเหนื่อยมาก เพราะเดินกันทั้งวัน แถมยังสะพายเป้อีกคนละใบ (พวกเราประเภท งก ไม่ยอมฝากกระเป๋าไว้ ก็เลยต้องแบกหนัก)

เย็นนั้น เพื่อนพี่เอจบอกว่าจะพาไปกินอาหารจีน พวกเจ้าปั๋ง ไม่ยอมไปด้วย สงสัยคงเหนื่อยจัด บอกว่าจะต้มมาม่ากิน แต่พวกเราเกลี้ยกล่อมจนยอมไปกันทั้งหมด อาหารค่ำวันนั้น อร่อยมากจริงๆ พวกเรากินกันเยอะมาก ลืมเรื่องราคาไปเลย แต่ราคาก็ไม่แพงมาก ก็สมน้ำสมเนื้อดี กินเสร็จ พวกเราก็ยังมีแรงไปเดินย่ำราตรีกันอีก ตอนแรกกะว่าจะไปเที่ยวผับกัน

ได้ยินมาว่าที่ประเทศอังกฤษนี่ ผับเขาจะดีมาก ไม่ใช่ผับที่มีเสียงดังอึกทึก ก็เลยจะไปกัน แต่รู้สึกว่าจะปิดหรือยังไงเนี่ย จำไม่ได้เหมือนกัน ก็เลยเดินเที่ยวไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปกันไป ได้ถ่ายรูป Tower Bridge ตอนกลางคืน ก็สวยแปลกไปอีกแบบ แต่ตอนเดินกลับที่พักเนี่ยซิ ฉันเดินจนมีความรู้สึกว่า ขามันเดินไปเองจริงๆนะ เหมือนเราไม่ได้ควบคุม คืนนั้นหลับกันสนิทจริงๆ

Big Ben ตอนกลางคืน



เช้าวันอาทิตย์ เราก็เริ่มตระเวนทัวร์กันจริงๆ เริ่มจากไปดูทหารสวนสนามที่พระราชวัง, ไป Big Ben , อาคารรัฐสภา และก็อีกหลายๆที่ (จำไม่ได้อีกตามเคย) ได้ไปขี่รูปปั้นสิงโต เลยรู้สึกว่าเหมือนเด็ก แต่ทุกคนที่ไปก็ขึ้นไปขี่กัน แล้วก็ถ่ายรูปกัน ไม่ใช่ขี่ได้ง่ายๆเหมือนกันนะ เพราะว่าสิงโตตัวใหญ่มากและก็สูงมาก เห็นท่าแต่ละคนเวลาขึ้นขี่สิงโตแล้ว..ขำกลิ้งจริงๆ


ต่อจากนั้น ก็มีการโหวตว่าจะไปตลาดนัด หรือไปพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุซโซ ฉันอยากไปพิพิธภัณฑ์ แต่แพ้โหวต ก็เลยต้องไปเดินตลาดนัดแทน ปิดท้ายรายการทัวร์ด้วยการไปดูนาฬิกาสวิส ที่ทุกๆชั่วโมงจะมีการตีบอกเวลาที่ไม่เหมือนที่ไหน คือจะหุ่นรูปปั้นออกมาเต้น, เดินรอบๆนาฬิกานั้น

เย็นนั้นเราตบท้ายอาหารเย็นด้วยการกินอาหารจีน (อีกแล้ว) แต่เป็นแบบจานเดี่ยว เช่น ข้าวหมูแดง แต่จานหนึ่งของที่นี่กินอิ่มจริงๆ คือจานหนึ่งเขาใหญ่มาก กินจนพุงกาง เสร็จสรรพเราก็นั่งรถไฟไปท่าเรือ เพื่อกลับฝรั่งเศส



เช้าวันจันทร์ที่ 12 เราถึงที่ท่าเรือ CEAN PORT พวกเราต้องทำเวลากันเพื่อกลับไปเรียนในเช้านั้น พวกเราจะมีปัญหากันเล็กน้อย ก็เลยต่างคนต่างกลับ เจ้าอ๋อบอกว่าจะขับรถตามพี่รังสีกลับ ปรากฏว่าพวกเราไม่ชำนาญทางกัน และดูแผนที่ผิด ก็เลยขับรถไปออกอีกที่หนึ่ง เสียเวลาไปหลายชั่วโมง กลับมาที่เดิม วันนั้นกว่าจะกลับไป Alcatel ก็ประมาณบ่ายแล้วละ แต่อาจารย์ใจดีมาก ก็เลยไม่ได้สอนอะไรมาก แล้วก็ปล่อยพวกเรากลับที่พักไปนอน

สุดสัปดาห์ ทาง Alcatel บอกว่าวันเสาร์จะพาพวกเราไปเที่ยวที่ St.Malo, St.Micheal ให้พวกเราเตรียมตัวกัน เย็นวันศุกร์ เราได้บัตรไปเที่ยวผับแห่งหนึ่ง จากวันนี ดีจังได้มาเที่ยวผับในฝรั่งเศสด้วย คืนนั้นเราไปกันหมด อาจารย์ที่น่ารักก็ไปด้วย

ผับนี้จะมี 2 ชั้น ชั้นแรกจะมี floor ไว้ให้นักเต้น แต่ floor ที่นี่จะเล็กมาก เพลงเปิดตั้งนาน ไม่เห็นมีนักเต้นคนไหนจะออกไปเลย เรานั่งรอสักครู่ ก็เริ่มมีนักเต้นออกไปบ้าง เราก็รีรออยู่ สักครู่อาจารย์ก็มา อาจารย์บอกว่า ชั้นบนดีกว่า จะเป็น floor เต้นรำลักษณะการเต้นเข้าจังหวะ พวกเรานั่งดูไปเรื่อยๆ สักครู่ก็มีไอ้หนุ่ม (ดูอีกที ก็ไม่หนุ่มแล้วละ) ฝรั่งเศส มาขอนั่งด้วย ดูเขารู้สึกสนใจนง เห็นคุยกับนงคนเดียว แถมเลี้ยงน้ำส้มต่างหาก พี่เอจไปคุยกับคนนี้สักพัก ก็หัวเราะออกมา บอกว่า เขาคิดว่าฉันแต่งงานแล้ว ไอ้บ้าเอ๊ย คิดอย่างนี้เราก็แย่นะซิ

พวกเราดูสักครู่ก็ตัดสินใจกันว่า ลองขึ้นไปดูชั้นบนดีกว่า พอเห็นบรรยากาศชั้นบนแล้วรู้สึกว่าสนุกจัง เห็นอาจารย์เต้นรำสนุกดี อาจารย์มาชวนพวกเราออกไปเต้นรำด้วย ฉันก็ออกไปเต้นเหมือนกัน โดยอาจารย์จะช่วยสอนจังหวะการเต้นด้วย สนุกดี


St.Malo, St.Micheal


ออกจากผับ จำไม่ได้ว่าตีอะไรแล้ว บางคนลงทุนไม่ยอมนอน เพราะกลัวไม่ตื่น เช้าวันเสาร์นั้น เราก็ไป St.Malo, St.Micheal หอบหิ้วขนมปังทำเป็น sandwich (แบบไทย) ไปด้วย ในทัวร์กลุ่มนี้มีกลุ่ม Transmission อีกกลุ่มไปด้วย และจะมีพวกแขก-อินเดียด้วย เหม็นกลิ่นเนยชะมัด

นั่งรถไปรู้สึกว่าเส้นทางชักคุ้นๆ อ้อเส้นทางนี้เคยมาแล้วนี่นา ตอนไป DINAN และก็จริงด้วย เพราะได้กินอาหารเช้าที่โรงแรมเดียวกับเมื่อคราวก่อน คราวนี้พวกเรารู้สึกเป็นงานกัน รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง เสร็จสรรพ ไป St.Malo, St.Micheal

สถานที่นี้จะเป็นปราสาทที่ตั้งอยู่บนเชิงเขา คาดว่าบางช่วงฤดูกาลจะมีน้ำล้อมรอบ ตอนไปจะไม่เห็นน้ำ คือจะเหือดแห้งไปแต่เห็นร่องรอยของน้ำ (ไม่รู้เข้าใจถูกหรือเปล่า) แต่อากาศหนาวมากเลย ลมพัดที หนาวเย็นยะเยือกจริงๆ


ภายใน St.Malo, St.Micheal


วันอาทิตย์ วันนี้เราไม่มีโปรแกรมจะไปไหน คิดว่าควรออกไปบางแห่งที่ยังไม่เคยไป ก็เลยกางแผนที่ดู ดูไปดูมาก็ขับรถไปเรื่อยๆ ไปสิ้นสุดที่ที่เป็นชายฝั่งอีกด้านที่เรายังไม่เคยไป ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ วันนี้จะเป็นวันอาทิตย์สุดท้ายที่ Lannion นี้ เพราะวันศุกร์จะเป็นวันสุดท้ายของการอบรมที่นี่
สุดขอบชายฝั่งของ Lannion

เย็นวันหนึ่งในสัปดาห์นั้น (อาจเป็นวันพุธหรือพฤหัส) พวกเราคิดว่าควรเลี้ยงตอบแทนกลับคืนทาง Alcatel พวกเราเล็งกันว่าจะไปเลี้ยงที่ร้านอาหารเวียดนาม (หรือ เขมร ชักไม่แน่ใจ) ร้านอาหารที่ประเทศแถบยุโรปนี้จะมีเอกลักษณ์แบบหนึ่งคือ เขาจะไม่มีพนักงานมากเหมือนประเทศเรา ส่วนใหญ่แล้วเจ้าของร้านจะทำหน้าที่เกือบทุกอย่าง คือเป็นตั้งแต่เจ้าของร้าน, รับ order ลูกค้า, เป็นพ่อครัว, เด็กเซิรฟ์อาหาร, เช็ค bill ด้วย ดังนั้น ร้านร้านหนึ่งจะมีพนักงานเพียงคนหรือสองคนเท่านั้น

วันนั้นเราไปกัน 15 คน กว่าอาหารแต่ละอย่างจะมา กว่าจะกินเสร็จก็ประมาณ 4 ทุ่ม กินอาหารที่ร้านนี้ประทับใจอยู่อย่างหนึ่งคือ เรื่องของหวาน พวกเราอ่านเมนูแต่ละอย่าง ให้ความรู้สึกว่าน่ากินมาก (แต่จำรายละเอียดไม่ได้) เช่น Coconut Cake (ทำนองนี้) พวกเราก็วาดภาพกันไป ปรากฎว่า ออกมาเป็น ขนมถั่วตัด และก็มีอย่างอื่นอีก ของหวานแต่ละอย่างเวลาเจ้าของร้านยกออกมา พวกเราก็ต้องคอยลุ้นกันไปว่า มันคืออะไรนะ ก็สนุกดี ได้หัวเราะหลังอาหาร

คืนนั้นหลังจากอาหารค่ำเรียบร้อย กลุ่มของฉันก็กลับที่พัก มารู้ตอนหลังว่า อีก 2 กลุ่มเขาได้ไปเที่ยวบ้านอาจารย์กัน ได้กินไวน์ แถมอาจารย์ก็เล่นไวโอลินให้ฟังด้วย น่าอิจฉาจริงๆไม่ยอมบอกเรา

อาจารย์ที่น่ารัก

เมือง Lannion ตอนกลางคืน

ก่อนจากเมือง Lannion ฉันขอถ่ายรูปบ้านน้อยที่น่ารักพร้อมกับเจ้าของบ้านไว้เป็นที่ระลึกก่อนจาก เจ้าของบ้านหลังนี้บอกว่าเคยมาเที่ยวเมืองไทยแล้ว แถมยังเอารูปออกมาให้พวกเราดูด้วย อัธยาศัยดีมาก

วันศุกร์พวกเราไม่ได้เรียนกัน ปิดคอร์สไปตั้งแต่วันพฤหัสแล้ว วันนี้เขามอบประกาศนียบัตรให้และให้ของที่ระลึกจาก Alcatel อีกหลายอย่าง เช่น เครื่องประดับแขวนผนังเป็นไม้รูปเรือ สัญลักษณ์ของเมือง Lannion และก็มี เสื้อยืด, ไฟแช็ค, พวงกุญแจ ทั้งหมดมีตรา Alcatel ติดอยู่ หลังทานอาหารกลางวันเสร็จ พวกเราก็เตรียมตัวจาก Lannion ไป Paris คราวนี้ วันนา เป็นคนไปส่งเราที่สถานีรถไฟแกงกองก์

บ้านน้อยที่น่ารัก