Monday, November 28, 2005

ปาย #4

ตี 4 คุณต๋อยมาเคาะประตูห้องอีกล่ะ เตรียมตัวเดินทางต่อ ได้ยินเจ็แหม่มบอกว่า เมื่อคืนฝันไม่ค่อยดี แต่เราหลับสบายไม่รู้เรื่อง เช้านี้พวกเราจะไป ห้วยน้ำดัง ไปดูทะเลหมอก เมื่อคืนคุณไกด์บอกให้เตรียมเสื้อกันหนาวมาให้ดีๆ แต่โชคดีหน่อยที่เช้านี้ไม่ต้องนั่งรถ 2 แถว

ห้วยน้ำดัง
ไปถึงยังมืดอยู่เลย ถ่ายรูปมาก็มองไรไม่เห็น พอสว่างได้หน่อย ถ่ายรูปกันซะ act ไรได้ก็ act ไป ฉันถ่ายรูป panorama มาได้ 3 รูป ไม่รู้ว่าเอาไปต่อกันแล้วจะเป็นไง (ถ่ายรูป panorama นี่ต้องเล็งให้ดีๆ ท่าจะให้ดีต้องใช้ขาตั้งกล้อง จะเยี่ยมไปเลย) รอพระอาทิตย์ขึ้น ก็จะได้รูปอีกแบบ ทะเลหมอกเนี่ย ฉันเห็นเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ครั้งแรกเห็นที่ภูชี้ฟ้า เมื่อ 5 ปีก่อน แต่ครั้งนั้นไปดูตอนเย็น ครั้งนี้เป็นตอนเช้า
ไม่ค่อยหนาวเลยอ่ะ ที่นี่ถ้าเล็งวิวดีๆ ถ่ายรูปมาจะเหมือนอยู่เมืองนอกเลย อิอิพวกเรามาตั้งแต่คนเยอะ จนพระอาทิตย์ขึ้นสว่าง คนน้อยแล้ว ก็ยังอยู่กันอีก แต่อย่างว่า นั่งรถมาตั้งไกล ชื่มชมนานๆหน่อยก็ดี นั่นคุณต๋อยมาเรียกอีกล่ะ

เช้านี้กินขนมปังกะกาแฟ พอดีเห็นร้านขายกาแฟสด ชื่อ กาแฟสดห้วยน้ำดัง มีอยู่ร้านเดียว (อีกล่ะ) แก้วละ 30 บาท คนเยอะมาก แต่รสชาด ก็งั้นๆแหละ เฮ้อ น่าแปลก มาเที่ยวเมืองเหนือเนี่ย หากาแฟอร่อยๆกินไม่ได้เลย แพงอีกต่างหาก ทั้งๆที่เป็นแหล่งเพาะปลูกนะเนี่ย เห็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ไปเอาโบชัวร์แล้วก็ stamp ตรายางดีก่า เห็นนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง กำลังถ่ายรูปอยู่ สงสัยน่าจะเป็นคน TRUE อิอิ เห็นจากพวงกุญแจ TRUE

ก่อนขึ้นรถ กินยาแก้เมาก่อนดีกว่า ทัวร์ต่อไปของเราคือ น้ำพุร้อนโป่งเดือด อันนี้ก็เป็น Unseen Thailand - Unseen Natures and Wonders อีกแห่ง ที่มีน้ำร้อนพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินสูงประมาณ 1 เมตร เป็นช่วงๆตามแรงดันของผิวดิน โดยน้ำอุณหภูมิประมาณ 100 องศา


น้ำพุร้อนโป่งเดือด

แต่ไงไม่รู้ หรือว่าเราเพิ่งกินอาหารเช้ามา ช่วงขาขึ้นไปดูน้ำพุร้อนเนี่ย ดูเหมือนเริ่มเกิดอาการท้องมวน โอ๊ยรถก็วิ่งซ้ายวิ่งขวา เอาอีกแล้ว ไม่ต้องไป Disney Land ก็ได้ ที่นี่สนุกกว่าเยอะเลย ฟรีด้วย โอ้ยทำไงดี ขนาดกินยาแก้เมามาแล้วนะ หลับตาดีกว่า (ตอนหลังมาได้ยินว่า ทางโค้งนี้แหละ ถือว่าสุดยอดที่สุดของแม่ฮ่องสอนแล้ว) เฮ้อในที่สุดก็ถึงซะที ต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 500 เมตรได้ ที่นี่ สมเด็จพระราชินีของเราก็เคยมาแล้วอีกเหมือนกัน และก็ทรงประทับแรม พักเต๊นท์ที่นี่ด้วย เมื่อประมาณ 8 ปีก่อน (ข้อมูลนี่ก็อ่านจากป้าย อิอิ)แต่ที่นี่ ถ่ายรูปออกมาจะเห็นเป็นขาวๆ เต็มไปด้วยไอของน้ำพุ คุณไกด์บอกว่า ให้ลองตบมือ แล้วน้ำพุจะพุ่งขึ้นสูง พวกเราก็ลองตบมือกัน ตอนแรกก็ต่างคนต่างตบ ตอนหลังก็ร่วมแรงร่วมใจกันตบ อือม ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า รู้สึกเหมือนกันว่า มันพุ่งขึ้นสูงกว่าปรกติจริงๆ

ก่อนออกจากที่นี่ เห็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เราก็เข้าไปเลย ไป stamp ตรายางด้วยดีกว่า (กลับไปคราวนี้ ต้องไปหา passport ให้ได้) เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวกลางวันที่ตัวเมืองเชียงใหม่ชื่อ ครัวเพชรดอยงาม มื้อนี้พวกเราก็สั่งอาหารเพิ่มอีกหลายอย่าง (แน่นอน 1 ในนั้นก็ต้องมีไข่เจียวด้วย) เพราะเหมือนเมื่อเช้าไม่ค่อยได้กินไร ก็เลยรวบ 2 มื้อ ทัวร์ต่อไปของพวกเรา คือ เวียงกุมกาม เป็นนครโบราณใต้พิภพ


เวียงกุมกาม

ไม่น่าเชื่อเลยว่า นครใต้พิภพ มีมาแต่ก่อนเมืองเชียงใหม่ อายุนานกว่า 700 ปี แต่เพิ่งมาขุดพบด้วยความบังเอิญมาเมื่อไม่กี่ปีมาเนี่ยเอง ไปถึงเขาจะให้ดู vcd ประวัติเมืองกุมกาม แล้วก็จะมีมัคคุเทศน์นำชม อธิบายวัดต่างๆโดยรอบ คุณต๋อยไปนั่งรถตู้อีกคันหนึ่ง

ย่อๆก็คือ อาณาจักรล้านนาแห่งนี้สร้างโดยพญาเม็งราย เพื่อเป็นศูนย์กลางของล้านนาราวพุทธศตวรรษที่ 18 มีความเจริญรุ่งเรืองทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง มีความสำคัญ และเป็นเมืองหน้าด่านต่อมา อีกหลายร้อยปี จนกระทั่งยุคเสื่อมของล้านนา เมื่อพม่าเข้ายึดครอง หลังจากนั้นเวียงกุมกามถูกน้ำท่วมใหญ่จนถูกทิ้งให้เป็นเมืองร้างในเวลาต่อมา นั่งรถเที่ยวชมรอบๆ มีให้แวะลงไปชมใกล้ๆเป็นบางช่วง

มัคคุเทศน์เล่าเรื่องแปลกๆหลายอย่าง เช่น เมื่อมีการขุดพบเวียงกุมกามใหม่ๆ มีชาวบ้านคนหนึ่ง ขุดเจอเชี่ยนหมากทองคำ ซึ่งในสมัยก่อน ผู้ที่สามารถมีเชี่ยนหมากทองคำได้ คือเจ้านายชั้นสูงหรือไม่ก็เชื้อพระวงศ์ คนนี้นำไปขายให้กับชาวต่างชาติ ปรากฏว่ากลับมาบ้าน ไม่สามารถพูดได้ แล้วก็สติแตกไปเลย ทุกวันนี้ยังเดินวนเวียนอยู่บริเวณนั้น เหมือนต้องเฝ้าทรัพย์สมบัติ มัคคุเทศน์เล่าอีกหลายเรื่อง สไตล์แบบนี้แหละ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ …

ใกล้ๆกันนั้นจะมีของที่ระลึกวางขายอยู่ เรียกว่า ถักเมล็ดข้าว เป็นโลหะใหญ่กว่าเหรียญบาทประมาณ 1 เท่า เป็นรูปนักษัตริย์ต่างๆ ล้อบรอบด้วยเมล็ดข้าวเรียงเป็นวงกลม คนขายเป็นยายอายุประมาณ 60 ปี ให้ไปวางบนหัวเตียง หรือหน้ารถ เห็นแต่ละคนซื้อกันมากกว่า 1 อัน ฉันซื้อมาทั้งหมด 5 อัน อันละ 20 บาท ก็ OK นะ บริเวณแถวนั้น มีต้นโพธิ์อยู่หลายต้น แต่เป็นต้นโพธิ์จากศรีลังกา สังเกตุจากปลายใบโพธิ์จะเรียวแหลมเป็นเส้น จะมีไม้ต่างๆมาค้ำยัน เหมือนเป็นการค้ำยันให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง


เจ๊แหม่มได้ใบโพธิ์มาใบหนึ่งจากไกด์ เป็นใบที่หล่นจากต้นแล้ว พวกเราบอกว่า ขอหรือยัง เจ๊แหม่มหลังจากฟังหลายๆเรื่อง ก็เลยกลัวไม่กล้าเอากลับมาด้วย

ออกจากเวียงกุมกาม พวกเราก็มาถึงลำปาง คุณต๋อยให้พวกเราแวะไปซื้อของฝาก เป็นตลาดขนาดใหญ่มีทั้งของกิน ของที่ระลึกจากเมืองเหนือต่างๆ รถจะจอดแวะประมาณ 1 ชม. ฉันซื้อ ข้าวแต๋น (ของขึ้นชื่อของลำปาง), ท้อดอง, ลูกพรุน, กระเทียมโทนดองน้ำผึ้ง (อันนี้ให้ป๊ะป๋า) แล้วก็ใส้อั่ว ประมาณเท่านี้แหละที่ท่องเที่ยวแห่งสุดท้ายที่จะไปคือ วัดพระธาตุลำปางหลวง เป็นพระธาตุประจำของผู้ที่เกิดปีฉลู ไปดู เงาพระธาตุหัวกลับ อันนี้ก็ Unseen อีกเหมือนกัน

วัดพระธาตุลำปางหลวง

ที่จริง ที่นี่ฉันเคยมาแล้ว 2 ครั้งเมื่อปี 2543-2544 ตอนนั้นมาเที่ยวกันเอง คราวนี้คุณไกด์อธิบายประวัติของวัดให้ฟังด้วย แต่คุณเธอเล่าเร็วมาก ไอ้เราก็ถ่ายรูปอยู่ ฟังมั่งไม่ได้ฟังมั่ง ปะติปะต่อไม่ค่อยติด รู้แต่ว่าเดี๋ยวจะเข้าไปดูรอยกระสุนปืน ไรทำนองเนี้ย
วัดพระธาตุลำปางหลวง

เข้าไปข้างใน ตรงซุ้มพระบาท เป็นที่ประดิษฐาน รอยพระบาทของพระพุทธเจ้า ที่ที่จะได้เห็นเงาพระธาตุหัวกลับ แต่จะให้เฉพาะผู้ชายเข้าได้เท่านั้น ฉันก็รู้ๆอยู่ มาตั้ง 2 ครั้งก็ได้แต่อยู่ข้างนอกเนี่ยแหละ แต่ภายในวัดมี วิหารพระพุทธ ก็มีเงาของพระธาตุหัวกลับให้ดู แต่ก็ไม่ชัดเหมือนของจริงอ่ะ

ก็จะเห็นเป็นเงาของพระธาตุกลับหัว เวลาแสงส่องลงมา ถ่ายรูปออกมา ไม่ชัดเท่าไร (ใช้ mode nightshot จะมองอะไรไม่เห็นเลย ) ออกมานั่งรอพวกผู้ชายเข้าไปดูเงาพระธาตุ นมัสการพระธาตุเสร็จ นั่งดูรอยกระสุนปืน ของหนานทิพย์ช้างผู้ยิงท้าวมหายศ แม่ทัพของพม่าตาย

คุณไกด์ช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติม ว่าพระธาตุประจำปีของแต่ละนักษัตริย์ อยู่ที่วัดใด จังหวัดใด ของเราเนี่ยไม่ได้อยู่บนโลกนะ อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วจะไปนมัสการยังไงเนี่ย แต่ไม่เป็นไร สามารถไปนมัสการได้อีกที่หนึ่งคือที่วัด อยู่ที่เชียงใหม่ บริเวณแถวนั้นจะมีของให้ประชาชนลองเสี่ยงทายอยู่ 2 อย่างคือ ไม้ยาวประมาณ เมตรกว่าๆ ให้เรากางแขนออกให้กว้างที่สุด แล้วมาร์คไว้โดยใช้หนังยาง ให้รู้ว่าความกว้างของแขนทั้ง 2 ข้างเท่าไร เสร็จแล้วลองอธิษฐาน แล้วให้วัดอีกครั้ง ซึ่งคุณไกด์บอกว่า หากคำอธิษฐานไม่สำเร็จละก็ วัดครั้งที่ 2 จะไม่เท่ากับครั้งแรก คือจะสั้นหรือยาวกว่า อันนี้คุ้นๆ จำได้ตั้งแต่คราวก่อน

ส่วนอีกอย่างที่ให้ลองเสี่ยงทาย จะเป็นการยกช้างคชสาร (ถ้าผิดก็ขออภัย) คือรอบแรกให้อธิษฐานแล้วยกด้วยนิ้วก้อย แล้วรอบสองให้อธิษฐานเหมือนเดิมอีกแล้วยกอีกครั้ง ถ้าครั้งแรกยกได้ ครั้งสองยกไม่ได้ คำอธิษฐานจะเป็นจริง ฉันไม่ได้อธิษฐานอะไรเลย เฉยๆ ไม่ได้ลองด้วย (อิอิ จริงๆแล้วกลัวว่าอธิษฐานแล้วจะไม่ได้ จะเสียกำลังใจหมด)

คุณต๋อยพอไปนมัสการ พระเจ้าแก้วมรกต อยู่ใกล้ๆกัน แต่เดินออกมาหน่อย คือเวลายังเหลืออยู่ ให้คนขับได้พักก่อน สำหรับพระเจ้าแก้วมรกต แม้จะมา 2 ครั้งแล้ว ก็ยังไม่เคยไปนมัสการ ไม่รู้ด้วยอ่ะ เป็นพระพุทธรูปหน้าตักกว้าง 6 นิ้วครึ่ง เป็นศิลปเชียงแสน ปางสมาธิ มีอายุกว่า 1500 ปีแน่ะแต่ไม่ได้ดูใกล้ๆหรอก มีประตูซี่กรงเหล็กกั้นตั้ง 2 ชั้น พวกเราใช้เวลานิดเดียว คุณต๋อยบอกว่า คนขับพร้อมแล้ว

พวกเราเดินข้ามฝั่งไปรอรถตู้ตรงข้ามวัด มีของที่ระลึกขาย ฉันซื้อซองใส่มือถือ ทำจากกะลา ราคา 80 บาท แต่สวยนะ ซื้อเหมือนตาลอีกละ ฉันกับตาลมีของเหมือนกัน 3 อย่างแล้วนะเนี่ย

คณะดนตรีเด็กๆ

ตรงนี้จะมีคณะดนตรีเด็กๆ อายุตั้งแต่ 1 ขวบจนถึง 7-8 ขวบ มีทั้งสีซอ, กลอง , ฉิ่งฉาบ แล้วก็เครื่องดนตรีคล้ายกีตาร์ ไม่รู้เรียกว่าอะไร คุณต๋อยเล่าให้ฟังว่า เคยมาดูอยู่ครั้งหนึ่ง พอมีฝรั่งหรือนักท่องเที่ยวเข้ามาดู พวกเด็กๆจะเล่นดนตรีกันใหญ่ พอฝรั่งหันหลังคล้อยไปนิด ทั้งหมดก็หยุดเล่นเฉยเลย ขำดี

สุดท้ายแวะกินข้าวที่ร้านอาหารในจังหวัดลำปาง แต่คราวนี้พวกเราสั่งของเพิ่มแค่ 2 อย่าง อาหารเหลือด้วย สงสัยแต่ละคนยังอิ่มจากมื้อกลางวันกันอยู่เลย นั่งกินกันอยู่ ปรากฏว่า ไฟดับเสียนี่ พนักงานนำเทียนมาให้ พวกเราก็นั่งกินไปภายใต้บรรยากาศโรแมนติก
(หรือเปล่า ) ปรากฏว่า มีคนบอกให้เจ๊แหม่มเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟัง ท่ามกลางบรรยากาศแบบเนี้ยแหละ (เอ๊ะเรื่องไร)
เจ๊แหม่มบอกว่า เมื่อคืนโดนผีอำ คือนอนๆอยู่เหมือนมีผีผู้ชายมาอำ

ฉันฟังแล้วต๊กกะใจ ก็ฉันนอนกะพี่แหม่ม แต่เราไม่รู้เรื่องไรเลยอ่ะ อีกอย่าง ตอนเจ๊แหม่มไปดูบอล ฉันก็หลับอยู่ในห้องคนเดียวตั้ง 2 ชมแนะเสร็จจากกินข้าว บริเวณร้านอาหารมีเครื่องเล่นเด็ก ประมาณชิงช้า, ม้าหมุน, ไม้กระดาน พวกเราเนี่ยทำยังกะเด็ก เห็นปุ๊บ ก็ลงไปเล่น เล่นกันทุกคน เจ้าเอ๋คงจะสนุกกับชิงช้า เล่นไปเล่นมา โยกสูงขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายไม่สามารถหยุดได้ ต้องให้เค็งช่วยหยุด ปรากฏว่า ลงแบบสวยมากคือไปกองกับพื้น คุณต๋อยคงเห็นท่าไม่ดี บอกให้ขึ้นรถดีกว่า ก่อนที่จะเป็นไรมากกว่านี้ ก่อนนั่งรถยาว แต่ละคนขอแวะปัมท์ ล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อ

ลาละนะ มีโอกาสฉันจะมาเที่ยวใหม่ คราวหน้าอยากมาเองมากกว่า จะได้ใช้เวลาแต่ละสถานที่ได้นานกว่านี้

Sunday, November 27, 2005

ปาย #3

ตื่นแต่เช้า ตี 4 คุณไกด์เคาะประตูปลุกทุกห้อง อาบน้ำเสร็จ ดูเหมือนห้องเอ๋ยังไม่มีใครตื่นแน่เลยอ่ะ ก็ยังได้ยินเสียงกรนตาเซี้ยอยู่เลย ออกเดินทาง นั่งรถ 2 แถว พวกเรานั่งอยู่ข้างหลังทั้งหมด คุณต๋อยบอกว่า ไปนั่งข้างหน้าบ้างก็ได้นะ แต่พวกเรา รักกัน ไม่ยอมแยกจากกันเด็ดขาด นั่งกันเยอะๆ อุ่นดี จุดหมายของเราคือ ปางอุ๋ง และ บ้านรวมไทย

รถวิ่งขึ้นเขา เลี้ยวไปเลี้ยวมาอีกล่ะ มืดก็มืด หนาวขาอ่ะ ลมมาจากไหนเนี่ยทำไมหนาวขาจัง สั่นไปหมด นั่งประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึง ปางอุ๋ง ที่นี่จะเป็นอ่างเก็บน้ำ น้ำใสเหมือนกระจก มีหมอกหรือไอน้ำลอยขึ้นมาจากน้ำ สวยงามมากจริงๆ จนได้รับการขนานนามว่า สวิตเซอร์แลนด์ เมืองไทย พวกเราก็ถ่ายรูปซะ ไม่หนาวเท่าไร (หนาวตอนนั่งรถมากกว่า)


ปางอุ๋ง

ปางอุ๋ง

ฉันมองเห็นที่พักหลายๆหลัง trip ที่พวกเราเลือกมา ไม่ได้พักที่นี่ แต่ถ้าเป็นอีก trip จะได้นอนที่นี่ (แต่เที่ยวน้อยกว่า) พวกเรากินข้าวเช้าที่นี่ เป็นข้าวกล่อง หมูผัดพริกกะไข่ต้ม นั่งกินกันที่แพ แต่ดูเหมือน แพจะรับน้ำหนักพวกเราไม่ไหว นั่งๆอยู่ดูเหมือนแพทำท่าจะจมอ่ะ บางคนไม่อยากเสี่ยง ขึ้นจากแพไปหลายคนเสร็จจากข้าวเช้า คุณไกด์ก็ให้เตรียมตัวเดีนทางต่อไปบ้านรักไทย บอกว่าจะไปลองชิมชากัน บ้านรักไทยเนี่ยเป็นชุมชนของชาวจีนฮ่อ จากที่นี่มองไกลๆไปจะเห็นประเทศพม่า
บ้านรักไทย

ไปถึงคุณต๋อยก็พาไปร้านน้ำชา ดูเหมือนร้านนี้จะใหญ่สุด แล้วก็พวกทัวร์ต่างๆมักจะพามาร้านนี้ เข้าไปนั่งที่โต๊ะ มีเครื่องเคียงวางอยู่ก่อน ลองหยิบ ลูกชิดอบแห้งมาชิม เจ้าของร้านนำน้ำชามาให้ชิมตั้งหลายอย่าง ทั้งชารสโสม, รสมะลิ, รสกุหลาบ ไปจนถึง ชาอู่หลงที่ขึ้นชื่อว่าสุดยอดของชาทั้งปวง เขาจะเสริฟมาในชุดถ้วยชาแบบที่เป็นถ้วยปรกติคว่ำด้วยถ้วยทรงสูงอีกใบ วิธีการกินก็คือ ดึงถ้วยทรงสูงออกมา น้ำชาก็ไหลมาที่ถ้วยปรกติจนหมด แล้วให้เราดมเจ้าถ้วยชาทรงสูง แบบนี้จะได้กลิ่นของชา ถ้าหนาวก็เอามือถูเจ้าถ้วยชาทรงสูง อือม พึ่งรู้วิธีการกินชาแบบชาวจีนฮ่อ
บ้านรักไทย

ฉันชิมชาทุกรส ยกเว้น ชามะลิ เพราะกินบ่อยแล้ว กินแล้วก็ตัดสินใจว่าจะซื้อไปฝากพ่อกะแม่ซักกะหน่อย ดูๆไว้ 2 อย่าง ชาโสม (250 บาท) กับ ชาอู่หลง มีหลายราคา แพงสุดก็ 450 บาท เป็นแบบ เก็บก่อนน้ำค้าง อะไรทำนองเนี่ย ฉันซื้อ 2 อย่าง ต่อราคาได้นิดหน่อย เจ้าของลดราคาให้ 2 อย่างเหลือ 650 กะแถมชุดชาให้ 1 ชุด เสร็จจากดื่มชา กิจกรรมต่อมาไม่ต้องพูดถึง ถ่ายรูปอีกละ ของแน่อยู่แล้ว ได้ถ่ายกะเด็กชาวจีนฮ่อ แต่ไม่มีใครใส่ชุดชาวดอยสักคน

เจอหมาชาวดอยอยู่ตัวนึง หน้าตามันตลกดีอ่ะ เสียดายที่ถ่ายรูปมันไม่ทัน สงกะสัยมันจะขี้อาย พอเราเดินไปใกล้ มันเดินหนีเข้าบ้านไปเฉยเลย เดินตามมันยังไง มันก็ไม่สน ไม่เห็นจะเหมือนหมากรุงเทพเลยแฮะ เจอคนแปลกหน้า เห่ายังกะอะไรดี เจ้าหมาชาวดอย
เนี่ย มันจะเฝ้าอะไรได้เปล่าเนี่ย

ขึ้นรถต่อ เตรียมจะไปพอกโคลนล่ะ จะไปภูโคลน คันทรี คลับ เห็นว่า เป็น Unseen อีกอย่างละ เห็นว่า ภูโคลนเนี่ย ในโลกมีแหล่งโคลนแบบนี้เพียง 3 แห่ง คือที่นี่, ฝรั่งเศส และ โรมาเนีย ฉันกำลังจะไปพอกโคลนที่ 1 ใน 3 แหล่งของโลกเชียวนา ไปถึง เขาจะมีบ่อโคลนให้น่องท่องเที่ยวดู ลองดมกลิ่นโคลน อือม.. ก็กลิ่นโคลนจริงๆนะแหละ คุณไกด์บอก ใครต้องการหมักโคลนก็เชิญเลย แต่มีเวลาประมาณ 1 ชม. พอกหน้าอย่างเดียวก็พอ กำลังเตรียมจะไปอยู่แล้ว มีเจ้าหน้าที่อีกคน มาอธิบายเรื่องโคลน แต่พวกเรากระซิบกระซาบกันว่า ไม่ฟังดีกว่า รีบไปพอกหน้ากันเลย เดี๋ยวคนเยอะ

ค่าบริการคนละ 60 บาท เจ้าหน้าที่ให้หมวกคลุมผมกับผ้าเช็ดหน้ามาให้คนละชุด ขั้นแรกต้องล้างหน้าก่อน เสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ก็เอาโคลนมาพอกให้ ใช้เวลาแป๊บเดียว ก็ให้ไปนั่งรอข้างนอก รอให้โคลนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แล้วเจ้าหน้าที่จะมาเรียกให้ไปล้างออก กลุ่มของพวกเรา รู้สึกจะพอกเกือบทุกคน ยกเว้นคุณนพพร งานนี้มีหลักฐาน ใบหน้าแต่ละคนที่ถูกพอกด้วยโคลน

รอ รอ รอ กว่าโคลนจะเป็นสีเทา แต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไร ระหว่างรอ จะมีชายกลางคน จะเดินมาดูแต่ละคน แล้วก็อธิบายสรรพคุณของโคลน สงสัยจะเป็นเจ้าของสถานที่นี้ พร้อมกับถือกระจกมาหนึ่งอัน เดินไปที่ลูกค้า ให้ลูกค้าดูใบหน้าของตน พร้อมกับอธิบายต่างๆนาๆ ว่า เห็นมั๊ย โคลนเนี่ยทำการดูดซับสิ่งสกปรกต่างๆบริเวณตรงนี้ ตรงนั้น ไรทำนองเนี้ยแต่พอเดินมาที่ฉัน แล้วก็ชี้มาที่หน้าฉันบริเวณข้างๆจมูก ใต้ตา ให้ฉันดูในกระจก

เจ้าของร้าน : นี่ไงคุณ สังเกตุดูซิ บริเวณแถวเนี่ย มีการดูดซับของโคลน เนี่ยแสดงว่า ผิวหยาบนะ
ฉัน :

โห พูดจาทำร้ายจิตใจกันจังเลย ปรกติ ถึงแม้ฉันจะไม่เคยพอกหน้า แต่ก็เคยนวดหน้า ทำความสะอาด ทาครีม ทากันแดด นะยะ จะบอกให้ พอได้เวลา เจ้าหน้าที่ให้ไปล้างออก แล้วฉีดน้ำแร่ให้ รู้สึกสดชื่นดี จับหน้าดูก็รู้สึกว่าเย็นๆดี เดินไปดูร้านขายของที่อยู่ใกล้ๆกัน

มีผลิตภัณฑ์ตั้งหลายอย่าง ทั้งโคลน สบู่โคลน น้ำแร่ โลชั่น ฯลฯ ฉันซื้อโคลนกระปุกเล็ก ราคา 350 บาท ว่าจะลองเอากลับไปใช้ที่กรุงเทพซักกะหน่อย หลังจากเสริมความงามเสร็จแล้ว คุณต๋อยก็พาไปกินข้าวกลางวัน เอ๋คงอยากกินไก่ เดินข้ามถนนไปซื้อไก่ย่าง ไก่ทอดมากิน คุณต๋อยบอกว่าใครอยากกินกาแฟ ร้านนี้มีขายด้วย ถ้วยละ 10 บาท (โธ่ นึกว่ารวมในทัวร์แล้วซะอีก)

กินข้าวเสร็จก็ออกเดินทางต่อ สถานที่ต่อไปคือ ถ้ำลอดปางมะผ้า เป็นถ้ำขนาดใหญ่ จะมีหินงอกหินย้อยรูปร่างต่างๆอยู่ภายใน และก็มีสายน้ำไหลผ่าน โดยจะมีแพให้ล่องชมได้ และก็ ถ้ำผีแมน เป็น Unseen อีกแห่ง ตรงทางเดินเข้าก่อนที่จะลงแพ มีขายอาหารปลาเป็นเม็ดๆ ถุงละ 10 บาท คนขายบอกไว้เลี้ยงปลาตอนลงแพ ไปถึง เจ้าหน้าที่เขาจะเตรียมให้ลงแพ เป็นแพไม้ไผ่ 1 หลัง นั่งได้ 4 คน ตาล, นพพร, พี่ตุ่ม, พี่แหม่ม นั่งด้วยกัน ฉัน เอ๋ เค็ง เซี้ย ก็นั่งอีกแพหนึ่ง (แต่รู้สึกว่าแพมันยวบๆ ยังไงก็ไม่รู้)
ถ้ำลอดปางมะผ้า
โชคไม่ดีเลยอ่ะ แพที่เรานั่ง ดันไม่มีตะเกียง ไฟฉายก็ถ่านหมด ลอดถ้ำเข้าไปก็มองอะไรไม่เห็น ไอ้ที่จะให้อาหารปลา ก็มองปลาไม่เห็นอ่ะ โรยๆ ไป เดี๋ยวมันคงมากินเอง

เข้าไปข้างใน เจ้าหน้าที่จะให้แวะถ้ำประมาณ 2-3 ถ้ำ ข้างในก็จะมีหินรูปร่างแปลกๆ อันนี้บางครั้งก็แล้วแต่จินตนาการ พอเจ้าหน้าที่บอกว่าเหมือน อะไรสักอย่าง พวกเราก็... อือม เออ เหมือนเนอะ ปีนขึ้นไป บางถ้ำต้องปีนสูงเหมือนกัน บางคนก็ไม่ขึ้นไป แต่ไหนๆเราก็มาแล้ว ก็อยากขึ้นไปอ่ะ ไปหมดทุกที่ที่เขาให้ไป
ถ้ำผีแมน

ถ้ำสุดท้าย ถ้ำผีแมน อันนี้เคยเห็นในรูปของหนังสือ Unseen เป็นโลงศพของผีแมน (ผีผู้ชาย 5555) จริงๆแล้วเป็นถ้ำที่มนุษย์ในสมัยเมื่อประมาณหนึ่งพันปีที่แล้ว นำโลงศพที่ทำด้วยท่อนไม้ขนาดใหญ่ขุดตรงกลางออก แล้วนำศพของผู้เสียชีวิตเข้าไปไว้ จากนั้นนำโลงศพนี้ขึ้นไปไว้ในถ้ำ แต่พอเห็นของจริงแล้ว เหมือนเขาไม่ได้อนุรักษ์มั้ง ดูมันโทรมๆ ยังไงก็ไม่รู้

เสร็จจากเที่ยวน้ำลอด ทริปต่อไปของเราคือ วัดน้ำฮู วัดน้ำฮู นี่เป็นสถานที่ประดิษฐานของเจ้าพ่ออุ่นเมือง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่พระเศียรส่วนบนสามารถเปิดได้และมีน้ำขังอยู่ ซึ่งน้ำในพระเศียรนี้จะซึมออกมาตลอดเวลา โดยทุก 10 วัน จะมีการเปิดพระเศียรและตักน้ำมาผสมกับน้ำสะอาดเก็บไว้ สำหรับประชาชนทั่วไปที่เข้ามานมัสการ
หลวงพ่ออุ่นเมือง

ไปถึง หลังจากกราบหลวงพ่ออุ่นเมือง เจ้าหน้าที่ก็เปิด vcd บันทึกตอนที่มีการตักน้ำจากพระเศียรออกมา ให้ดูกัน และก็จะมีน้ำมนต์หากใครต้องการ กรุ๊ปพวกเราดูเหมือนจะตักน้ำมนต์กันทุกคน นอกจากนี้ ในบริเวณวัดน้ำฮู ยังมีพระเจดีย์อนุสรณ์ พระนางสุพรรณกัลยา พระเชษฐภคินีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อีกด้วย เชื่อกันว่าพระเจดีย์แห่งนี้ สร้างโดยพระนเรศวรมหาราช เพื่อบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา พวกเราก็ได้ถ่ายรูปบริเวณเจดีย์ตรงนี้ด้วย

ออกจากวัดน้ำฮู คุณไกด์ก็พาพวกเราไปเดินเล่นที่ตัวเมืองปาย เมืองนี้น่ารักจริงๆ ดูสงบ เห็นว่า ร้านค้าต่างๆ สัก 6 โมงเย็นก็เริ่มปิดแล้ว ร้านค้าต่างๆจะตกแต่ง น่ารักดี ไว้รองรับนักท่องเที่ยวเลยนะเนี่ย

All About Coffee

ร้านแรกที่ตาลพูดถึง ก็ร้านกาแฟสด ได้ยินว่า มีอยู่ร้านเดียวเลยในละแวกเนี้ย ชื่อร้าน “All About Coffee” (อิอิ คล้าย All About Eve เอ เกี่ยวกันหรือเปล่าเนี่ย) พวกเราก็เข้าไปสั่งโน้นสั่งนี่กันใหญ่ ปรากฏว่า น้ำแข็งหมด พวกเรามากันตั้งหลายคน เขาไม่สนใจเลยอ่ะ แถมบอกอีกว่า ไม่เป็นไร เพราะร้านกำลังจะปิดแล้ว ไม่เอาใจลูกค้าเลยอ่ะ หลายคนคงอยากกินกาแฟสด อุตส่าห์ไปหาซื้อน้ำแข็งมาได้ สุดท้ายก็ได้กินกาแฟสมใจอยาก แต่... ก็งั้นๆแหละ ไม่เห็นอร่อยเลย สู้ร้านพี่โม่งก็ไม่ได้อ่ะ แพงก็แพงด้วย สั่งคาปู 1 แก้ว 45 บาท รสชาดธรรมดามากเลยอ่ะ

ร้านขายโปสการ์ด

ตรงข้ามร้านกาแฟ มีร้านขายของที่ระลึก, postcard พวกเราใช้เวลาแถวๆนี้นานพอควร อาศัยเป็นฉากหลังของการถ่ายรูปไปซะเยอะเลย ฉันเองถ่ายรูปร้าน Sabai-Dee Gallery ไปซะเยอะเลย ดีน่ะที่เขาให้ถ่ายรูป ตอนแรกว่าจะซื้อ postcard ซะหน่อย แต่ใบละ 15 บาท แพงเหมือนกันอ่ะ แล้วรูปก็ไม่โดนใจด้วย คือ postcard จะเป็นแบบ เจ้าของถ่ายรูปเอง อัดเอง คือฉันดูๆหมดแล้ว มันไม่โดนจริงๆ ก็เลยไม่ซื้อดีกว่า สุดท้ายซื้อเข็มกลัดหนึ่งอัน เป็นที่ระลึกจากปาย

ซื้อไปซื้อมา เงินหมด วันนี้ใช้เงินไปเยอะ ทำไงดี สอบถามไกด์ว่ามี ATM อ่ะเปล่า คงต้องกดเงินมาใช้แล้วล่ะ ไม่เป็นไรหรอก เงินทองไหลเวียนในประเทศ

และแล้วก็ได้เวลาเข้าที่พัก คืนนี้พวกเราจะไปพักที่ ท่าปายสปาแค้มปปิ้ง ที่นี่มีน้ำแร่ให้แช่ด้วย อิอิ ดีจริง วันนี้จะได้เสริมสวยทั้งวัน ไปถึง เห็นบ่อน้ำแร่ที่พวกเราจะแช่แล้ว อยู่ติดกับที่พักเลย ดีจริงๆ พวกเรากะว่ากินข้าวก่อนดีกว่า จะได้แช่กันให้นานๆไปเลย อาหารเย็นวันนี้ กินกันเปรมไปเลย สั่งเพิ่มอีกตั้งเยอะ เหมือนสั่งประชดทัวร์ไงก็ไม่รู้ แถมกินเบียร์อีก 1 แก้ว

กินข้าวเสร็จ ได้เวลาแช่น้ำแร่ ขากลับจากกินข้าว พอดีเห็นคุณแม่ (เป็นคุณแม่ของเจ้าของทัวร์ ที่มากับอีกกรุ๊ปหนึ่ง) ใช้ผ้าขนหนูของโรงแรมพันแบบกระโจมอก แล้วนั่งแช่อยู่ เอ.. เราเอาไงดี เอาแบบคุณแม่ก็ดี เสื้อผ้าของเราจะได้ไม่เปียก อีกอย่าง บ่อแช่น้ำร้อนก็ใกล้กับห้องพักแค่นี้เอง

ปรากฏว่า คนอื่นๆเขาใส่เสื้อกะกางเกงกันหมด มีเราคนเดียวที่พันผ้าขนหนู เขินๆ เหมือนกัน คุณไกด์บอกว่า ให้แช่ประมาณ 15 นาที แล้วขึ้นมานั่งอีก 5 นาที แล้วถึงให้ลงไปแช่ใหม่ ไม่งั้นอาจเป็นลมได้ตอนที่ลงไปแช่ครั้งแรก โอ้โฮ น้ำร้อนจริงๆ แต่พอแช่ไปสักพัก ไม่ค่อยรู้สึกว่าร้อนแล้วล่ะ อุ่นๆดี พอถึง 15 นาที ขึ้นมานั่งตรงขอบสระ เห็นควันออกมาจากตัว เต็มไปหมด มีคนแซว ว่ากำลังโกรธจัดหรือเนี่ยแต่พอกลับลงไปแช่อีกที โอ้โฮ รู้สึกร้อนเหมือนตอนแรกที่ลงเลย พวกเราแช่อยู่นานเหมือนกัน เกือบชั่วโมงได้มั้ง เห็นคุณไกด์มองออกมาจากหน้าต่างๆบ่อยๆ สงสัยจะรอพวกเราขึ้นมาก่อน ถึงจะลงไปแช่บ้างสุดท้าย เหลือ ฉัน , ตาล และก็ เซี้ย อยู่ 3 คน แล้วจู่ๆ ก็มีผู้ชายอีกคนมาขอแช่ด้วย ถามโน้นถามนี่ ฉันก็เลยขึ้นดีกว่า

คืนนี้มีฟุตบอลด้วยตอนประมาณ 4 ทุ่ม เห็นหลายคนว่าจะไปดู คือที่นี่จะมีโทรทัศน์กลางไว้ที่ห้องกินข้าว แต่ละห้องไม่มีโทรทัศน์ ฉันอาบน้ำเสร็จก็เดินไปเหมือนกัน แต่ไม่ได้ดูบอลหรอก ไปกินโรตีที่ซื้อมาตอนอยู่ในเมือง แต่เอาเข้าจริง กินไม่ลงแล้วอ่ะ เจ๊แหม่ม นั่งดูบอลอยู่ ฉันก็เลยหยิบ magazine 2 เล่มกลับห้องพักไปนอนดีกว่า นั่งอ่านได้สักพัก หลับดีกว่า เจ๊แหม่มกลับมาอีกทีประมาณเที่ยงคืน

Saturday, November 26, 2005

ปาย #2

ตี 5 คุณต๋อยปลุกพวกเราให้ตื่น ล้างหน้าล้างตากัน แต่ห้องน้ำยังไม่เปิดไฟอ่ะ มืดตื๋อ ข้าวเช้า กินข้าวต้ม ขนมปังกะกาแฟ แล้วก็ถ่ายรูปกันซะหน่อยตรงบริเวณป้ายอุทยานแห่งชาติออบหลวง แล้วก็เดินเข้าไปข้างใน มี unseen Thailand อย่างหนึ่งชื่อ เขาหินจูบกัน เป็นเขาสองลูก มองไกลๆเหมือนชายหญิงจูบกัน พอดีมัวแต่ถ่ายรูป ไม่ได้ฟังคุณไกด์อธิบาย แต่ประมาณว่า ตำนานหญิงชาย อะไรเนี่ย

ระหว่างเขาสองลูกจะมีสะพานเชื่อมต่อกัน ให้เดินได้ครั้งละ 5 คน ลองไปเดินสำรวจบริเวณสะพานเชื่อม มองลงมา วิวสวยมากอ่ะ น้ำไหลแรงพอประมาณ ถ้าเดินผ่านสะพานนี่ไปจะเป็น”ดินแดนมนุษย์ก่อนประวัติศาสตร์” (อิอิ อ่านจากป้ายเอา)


ออบหลวง มองจากสะพาน


อยู่ที่นี่ได้ซักพัก คุณต๋อยก็เริ่มเรียกให้ออกเดินทางต่อ ขากลับผ่านศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เจ๊แหม่มบอกขอแวะ จะไป stamp ตรายาง ไปดูด้วยดีก่า เผื่อจะมี passport ขายจะได้ซื้อไว้ซักเล่ม เจ้าหน้าที่บอกไม่มีอ่ะ ก็เลยได้แต่ stamp ลงในแผ่นพับที่มีไว้แจกนักท่องเที่ยว และให้เจ้าหน้าที่ช่วยเซ็นต์ชื่อ

เห็นรูปที่เจ้าหน้าที่เขาถ่ายเมื่อตอนน้ำท่วมช่วงเดือนกันยา-ตุลา ที่ผ่านมา เห็นแล้วน่าตกใจ น้ำท่วมสูงมากๆ หลายเมตรเลยอ่ะ ถ้าเทียบกับระดับน้ำ ณ ตอนนี้ ช่วงนั้นคงน่ากลัวเหมือนกัน น้ำป่าไหลลงมาอย่างเร็ว นึกแล้วก็น่ากลัวแฮะ … ออกจากออบหลวง คุณต๋อยบอก จะพาไปเที่ยว ถ้าแก้วโกมล ซึ่งเป็น 1 ใน Unseen Natures and Wonders

ถ้ำแก้วโกมล ตั้งอยู่ อำเภอแม่ลาน้อย ห่างจากทางหลวงประมาณ 5 กิโลเมตร ห่างจากอำเภอเมือง แม่ฮ่องสอน ประมาณ 125 กิโลเมตร เป็นถ้ำที่ค้นพบใหม่ เห็นว่า ถูกค้นพบโดยบังเอิญ เมื่อวิศวกรสำรวจเหมืองแร่ของสำนักงานทรัพยากรธรณีแม่ฮ่องสอน ขุดเจาะอุโมงค์เข้าไปตามสายแร่ ภายในถ้ำจะมีผนึกแก้ว ซึ่งเกิดจากแร่แคลไซต์ ชาวบ้านมักจะเรียกว่า ถ้ำน้ำแข็ง เพราะมีความงดงาม ดังหิมะ และน้ำแข็ง ทั่วทุกหนแห่ง ตั้งแต่ผนัง ยังเพดาน มีความยาวประมาณ 120 เมตร ลึก 30 เมตร แบ่งออกเป็น 5 ห้อง คือ ธารน้ำพระทัย, ดุจในวิมานเมฆ, เฉกหินมพานต์,ม่านผาแก้ว ,เพริศแพร้วมณีบุปผา ได้ยินว่า ถ้ำแบบนี้ในโลกมี 3 แห่งคือ ออสเตรเลีย, จีน และ ไทย

ภายในถ้ำแก้วโกมล

ไกด์บอกให้ถ่ายรูปป้ายชื่อห้องต่างๆ แต่ฉันถ่ายรูปมาไม่ครบหรอก คือข้างในนะมืด อีกอย่างข้อจำกัดของกล้องเราได้ประมาณแค่เนี้ยแหล่ะ
แร่แคลไซต์

อ้อ ก่อนเข้าไปข้างใน เจ้าหน้าที่เขาไม่ให้เราเอา กระเป๋า เสื้อกันหนาวเข้าไป และก็ย้ำนักย้ำหนาว่า อย่าไปแตะต้องผลึกเหล่านั้นนะ เพราะว่ามันจะตาย คือจะไม่งอกออกมาอีก ผลึกที่มีคนไปจับ มันจะมีสีดำๆ ตอนฉันเข้าไปดูข้างในก็เห็นว่า มีบางส่วนมันก็เริ่มคล้ำๆดำๆ เหมือนกันล่ะ
แร่แคลไซต์ รูปหัวใจ


อือม สมแล้วล่ะ ที่เป็น Unseen Natures and Wonders สวยและแปลกมากจริงๆ สงสัยอีกนิดนะว่า เขาให้ถ่ายรูป แล้วเจ้า flash ต่างๆรว มทั้งความร้อนจากร่างกายน่องท่องเที่ยวเนี่ย นานๆไปจะทำให้ผลึกต่างๆพวกนี้มันเปลี่ยนแปลงไปหรือเปล่าน๊า อยากให้อยู่นานๆ ก็ในโลกมีเพียงแค่ 3 แห่งเท่านั้นเอง

ที่นี่ สมเด็จพระราชินีของไทยเราเคยเสด็จมาเมื่อวันเกิดเรา 4 ปีที่แล้ว (19 กพ. 44 อิอิ ข้อมูลนี้มาจากป้ายอ่ะ) ก่อนกลับ เห็นมีของที่ระลึกขาย แวะไปดูๆ คุยกับคนขาย ดูเหมือนจะเป็นเจ้าหน้าที่มากกว่า ก็คุยกันได้สักพัก เห็นมีหนังสือเล่มเล็กๆชื่อ “ดูนกด้วยตนเอง” เป็นคู่มือสำหรับนักดูนกมือใหม่ ภายในก็จะเป็นรูปนกต่างๆพร้อมคำอธิบายอย่างย่อๆ คือซื้อมาไม่ใช่ว่าจะไปเป็นนักดูนกหรอก แต่อยากได้เป็นที่ระลึกจากที่นี่ อีกอย่างเจ้าหน้าที่คนขายเป็นทำเอง และเอารายได้ไปใช้ในมูลนิธิ ก็เลยข่วยๆกันหน่อย คนขายให้สมุดเล่มเล็กๆเล่มหนึ่ง ไว้บันทึกไรก็ได้

ออกจากถ้ำแก้วโกมล ไปกินข้าวเที่ยงที่ร้านอาหารในอำเภอขุนยวม กรุ๊ปเรามี 8 คน อาหารชุดหนึ่ง ไม่ค่อยพออ่ะดิ (แต่อีกกรุ๊ปเนี่ย เหลืออีกล่ะ) มะละกอ อร่อย หวานดี ขอเพิ่มอีกเพราะหมดอย่างรวดเร็ว เสร็จจากข้าวเที่ยง ก็ไปดูดอกบัวตอง ที่ดอยแม่อูคอ สูง 1600 เมตร ดอกบัวตองเยอะมากจริงๆ ตลอดทางที่รถวิ่งขึ้นดอยเนี่ยมีดอกบัวตองตลอดเส้นทาง ดูเหมือนจะมีครอบคลุมไปทั่ว แต่ถ้ามาก่อนหน้านี้สัก 2 สัปดาห์จะดีกว่านี้นะ ตอนนี้ ดูดูแล้วดอกมันเริ่มจะขอบดำแล้วล่ะ

ดอกบัวตอง ดอยแม่อูคอ


ถ่ายรูปกันซะ เต็มที่ ให้คุ้มกับที่ต้องนั่งรถตู้สนุกสนาน บรรยากาศดีๆ เคยเห็นแต่ในรูป ในเห็นของจริงละก็คราวนี้


ออกจากทุ่งบัวตอง ไปต่อที่พระธาตุดอยกองมู
วัดพระธาตุดอยกองมู มีชื่อเรียกแต่เดิมว่าวัดปลายดอน ตั้งอยู่บนดอยกองมูทางทิศตะวันตกของตัวเมืองแม่ฮ่องสอน เป็น ปูชนียสถาน คู่บ้านคู่เมืองที่สำคัญที่สุด ประกอบด้วยพระธาตุเจดีย์ที่สวยงาม2 องค์ พระเจดีย์องค์ใหญ่ สร้างโดย"จองต่องสู่" เมื่อ พ.ศ. 2403 ส่วนพระ ธาตุเจดีย์องค์เล็กสร้างเมื่อ พ.ศ. 2417 โดย "พญาสิงหนาทราชา" เจ้าผู้ครอง แม่ฮ่องสอนคนแรก

พระธาตุดอยกองมู

ที่นี่เขามีให้นมัสการพระธาตุ โดยนำดอกไม้ ธูปเทียน วางรวมๆไว้ในกระถาง ปักด้วยธงเงินทอง แล้ววางบนไม้ (เสียดายลืมถ่ายรูป) เขามีให้ แล้วแต่บริจาค นำกระถางนี้เดินรอบพระธาตุ วนตามเข็มนาฬิกา 3 รอบใหญ่ (คือบางคนจะไม่รู้ มีการเดินลัดพระธาตุเจดีย์องค์เล็กด้วย) แล้วนำไปวางหน้าพระพุทธรูปประจำวันเกิด พระพุทธรูปที่นี่พระพักตร์เป็นแบบแนวสถาปัตยกรรมของพม่า

เสร็จจากนมัสการพระธาตุ ข้างๆจะมีการลอยโคม ทำเป็นกระถางเล็กๆคล้ายกระป๋องน้มข้น สีสดต่างๆ โครงเป็นไม้หรือลวดเล็กๆหุ้มด้วยกระดาษ มีเทียนเล็กอยู่ข้างใน แล้วผูกกับลูกโป่ง ฉันเลือกกระถางสีเหลือง ลูกโป่งแดง เอาแบบสวยๆ สีตัดกันอ่ะ เวลาลอยสูงดูสวยดี

ที่นี่มองจากมุมสูง จะเห็นตัวเมืองแม่ฮ่องสอน มองเห็นสนามบินด้วย ฉันตีระฆังสัก2-3 ที พระอาทิตย์ใกล้ตกละ ก่อนจาก ฉันแวะซื้อโปสการ์ดมา 2 ใบ มีโปสการ์ดใบหนึ่ง ทำให้เห็นว่า ถ้ามองจากมุมสูง ที่นี่จะสวยมาก รูปในโปสการ์ดนั้นถ่ายเมื่อปี 1999 เห็นทะเลหมอกด้วย สวยจัง คุณต๋อยบอกว่าจะไปเช็คอินเข้าที่พักก่อน แล้วค่อยเดินทางต่อ คืนนี้ไปพักที่บ้านแก้วรีสอร์ท ฉันนอนกะพี่แหม่ม

หลังจากเช็คอิน เดินทางต่อไปวัดจองกลาง วัดจองคำ 2 วัดนี้ตั้งอยู่ใกล้ๆกัน วัดจองคำ หรือพระอารามหลวงวัดจองคำ เป็นวัดที่สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2340 เป็นวัดแรกของเมืองแม่ฮ่องสอน เป็นวัดเก่าแก่สร้างตามแบบอย่างศิลปไทยใหญ่ สิ่งที่โดดเด่นหลังคาทรงประสาท 9 ชั้น และมีศาสนสถานที่สำคัญคือ วิหารหลวงพ่อโต ซึ่งเป็นพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่สุดของแม่ฮ่องสอน สร้างเมื่อ พ.ศ.2477 โดยช่างชาวพม่า

หลวงพ่อโต วัดจองกลาง จองคำ


ในวิหารเป็นที่ประดิษฐานของหลวงพ่อโตซึ่งเป็นพระประธาน มีขนาดหน้าตักกว้าง 4.85 เมตร สร้างเมื่อ พ.ศ. 2469 โดยช่างฝีมือชาวพม่า และมีพระพุทธรูปขนาดใหญ่ซึ่งจำลองมาจากพระศรีศากยมุนีที่วิหารวัดสุทัศน์ เหตุที่เรียกชื่อวัดจองคำ เนื่องจากเสาวัดประดับด้วยทองคำเปลว คุณต๋อยบอกว่า กลางคืนที่นี่เขาประดับไฟสวยดี ไปนมัสการหลวงพ่อ ข้างๆจะมีให้ทำบุญบริจาคใส่ในบาตรแนวใหม่ มีบาตรเรียงกันเป็นวงกลม 7 บาตร ตามวันเกิด (แต่ไม่เรียงวัน) ทั้งหมดนี่อยู่ในกล่องแก้วใหญ่ๆ ข้างบนมีช่องให้หยอดเหรียญ ขึ้นไปเหยียบบนแท่น บาตรทั้ง 7 จะหมุนเป็นวงกลม ก็เล็งให้ดี ให้ตรงกับวันเกิดแล้วก็หยอด ส่วนใหญ่น่ะจะหยอดได้ ก็บาตรใหญ่อย่างนั้น เราอยู่ที่นี่แป็บเดียว ก็ไปกินอาหารเย็นชื่อร้านอาหารใบเฟิร์น

ร้านนี้บรรยากาศสวยดี เห็นว่าเป็นร้านที่ขึ้นชื่อของแม่ฮ่องสอน อาหารอร่อยบางอย่าง อาหารเย็นนี่มี 3 ชุด เขาให้พวกเรา 2 ชุด สงสัยเห็นว่ากลางวันกินกันไม่พอ คุณต๋อยบอกว่า มีใครอยากได้หนังสือรับรองมาเที่ยวแม่ฮ่องสอน ให้ลงชื่อไว้พร้อมเงิน 25 บาท กลุ่มเราดูเหมือนลงชื่อเกือบทุกคน ร้านเขาแต่งสวยดีนะ คนเยอะ แต่ไม่น่าเล่นเพลงไทยสากล อย่างเพลงของ โจ-ก้อง ไม่เข้ากับบรรยากาศเลย กินอิ่ม คุณไกด์ก็ให้พวกเราไปเดินเที่ยวเล่น จะมีคล้ายตลาดนัดขายของพื้นเมือง ของกิน เยอะมาก พวกเราก็เดินเที่ยว ซื้อของ แฮ่ แต่ฉันไม่ได้ซื้อไรอ่ะ ดูอย่างเดียว เห็นของกินหลายๆอย่าง อยากกิน แต่….อิ่มแล้วอ่ะ อ้อได้กินแค่ ปาท่องโก๋จิ้มสังขยา แล้วแวะซื้อโปสการ์ดอีก 2 ใบ

กลับจากเดินเที่ยว เข้าที่พัก คืนนี้นอนเร็วแฮะ แค่ 3 ทุ่ม แต่ก็ดีแล้วล่ะ เมื่อคืนไม่ค่อยได้นอน แถมพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่ ตี 4 จะไปปางอุ๋ง คุณไกด์บอกให้เตรียมชุดกันหนาวอย่างดี เพราะตอนเช้าจะเดินทางด้วยรถ 2 แถวแบบมีลมโกรก อย่างหนาววว

Friday, November 25, 2005

ปาย #1

วันนี้จะได้ไปเที่ยวปายแล้ว หลังจากที่ plan มาตั้งแต่ต้นปี จนมาวันนี้ก็ได้ไปซะที ออกเดินทางจากหน้าตึก TRUE ด้วยรถตู้ เปลี่ยนจุดนัดพบนิดหน่อยจากหน้าปัมท์ ปตท. ตรงวิภาวดี ผู้ร่วมเดินทางทั้งหมด 8 คน เอ๋, เค็ง, ตาล,นพพร, แหม่ม , เจ๊ตุ่ม, เซียะ และ lunar เองอ่ะไม่รู้จะหนาวอ่ะเปล่า แต่เตรียมเสื้อกันหนาวไว้ก่อน เอาไปตั้ง 3 ตัว ทำให้กระเป๋าเราใบใหญ่ที่สุด ประมาณ 6 โมงครึ่ง เริ่มเดินทาง Let’s Go

อยู่บนรถตู้ซักพัก คุณไกด์ (ชื่อต๋อย) ก็แนะนำตัวอย่างเป็นทางการ แล้วก็เริ่มเปิด vcd concert ของป้าเบิร์ด แต่ปรากฏว่า เกิดเหตุขัดข้องบางประการ มีแต่เสียง ไม่มีภาพ แฮะแฮะ เลยยังไม่ได้ดู รถวิ่งไปถนนวิภาวดีขาออก รถติดจังอ่ะ ค่อยๆเขยิบ เขยิบ (เอกชัยมาเอง) มาเรื่อยๆ พอผ่านจุดที่ติดมาได้ ก็แล่นฉิว มาถึง ปัมท์ ให้เข้าห้องน้ำ หลายๆคน เห็นร้านบ้านไร่กาแฟ ก็ตรงรี่ไปซื้อซะ แต่เราขอบาย กลัวปวดฉิ้งฉ่องอ่ะ ช่วงนี้พี่คนขับรถ ก็มาจัดการกะเจ้า vcd จนใช้งานได้ หลังจากทุกคนพร้อม ก็เริ่มออกเดินทางต่อ

คุณต๋อย จัดการเอา vcd โปงลางซะออน ออกมาเปิด (คือไรหว่า โปงลางซะออน ไม่เห็นจะรู้จัก) แต่ดูเหมือนเราจะไม่รู้จักอยู่คนเดียวนะซิ คนอื่นๆเขารู้จักกันหมด ช่วงแนะนำตัว ไรก็ไม่รู้ สงสัยตลกบ้านนอก หยิบ mp3 มาฟังดีก่า ฟังได้ซักพัก เอ๊ะ มีการแสดงโชว์คอนเสริท์ดนตรีพื้นบ้าน แต่ท่าทางน่าสนใจ ดูซะหน่อย อือม โชว์ดีเหมือนกัน การแสดงดี ทั้งแสง สี ดูซักพัก พอหมดโชว์ แล้วละก็ ทีนี้ก็เริ่มละ โอ๊ะ โอ อะไรกันนี่ ตลกจัง ฉันนั่งดูไป ขำไป น้ำตาไหลพรากๆ สนุก ตลกดี มุขต่างๆ ไม่ค่อยเจอแบบนี้ เออเรานี่เหมือนไปอยู่ที่ไหนมา แต่ดูไม่จบหรอก ตั้ง 3 แผ่น ดูไป หลับไป ตื่นขึ้นมาดูเป็นช่วงๆ

มาตื่นอีกที ก็นครสวรรค์ คุณไกด์เรียกตื่นประมาณ 4 ทุ่ม มากินข้าวต้มรอบดึก ร้านนี้เป็นแพ ตั้งอยู่ริมแม่น้ำ อร่อยที่หมูแดดเดียว กลุ่มเรากินหมดอย่างรวดเร็ว เติมก็ไม่ได้เนี่ยซิ แต่มีอีกกลุ่ม มากันประมาณ 5 คน กลุ่มนั้นอาหารยังเหลืออีก น่าเสียดายอ่ะ ออกเดินทางต่อ ฉันนั่งรถไปได้ซักพัก หลับๆตื่นๆ หัวโขกหน้าต่างไปเรื่อยๆ มาได้ซักพัก ทำไมรถเดี๋ยวเหวี่ยงซ้าย เดี๋ยวก็เหวี่ยงขวา ตื่นขึ้นมาดู อ้าวไหงเส้นทางถึงได้คดเคี้ยวเลี้ยวลด ยั่งกะงูเลื้อย

เจ๊ตุ่มบอกว่า นี่ไงเส้นทาง 1864 โค้ง ที่เขาว่ากัน ทีแรกเราเข้าใจว่า จะเจอเจ้าโค้งนี้ก่อนขึ้นปายซะอีก ไม่คิดว่าจะได้เจอเร็วขนาดนี้ เหวี่ยงมากๆ เหวี่ยงตลอดทาง ลุงคนขับรถ ขับเก่งมากๆเลยอ่ะ (มารู้ภายหลังว่า ลุงคนขับยังไม่เคยมาแม่ฮ่องสอน นี่มาครั้งแรกนะเนี่ย สูดดดด…ยอดเลย) กลัวเหมือนกันว่า ถ้ามีรถสวนมา จะเป็นยังไง มืดก็มืด นอนนับดาวดีก่า พระจันทร์ก็ไม่มี หลับเป็นพักๆ นั่งๆอยู่ จะลื่นไถลลงมาอยู่เรื่อย มาถึงออบหลวงประมาณ ตี 4 คุณต๋อยบอกให้หลับอยู่บนรถก่อนสัก 1 ชม. แล้วค่อยเริ่มเที่ยวกัน

Saturday, November 12, 2005

The Nightmare Before Christmas

วันนี้ไม่ได้ไปไหน นั่งแก้ job แก้ไปเรื่อยๆชักไม่ไหว หยิบ DVD ที่เช่ามาดูดีกว่า
เรื่อง The Nightmare Before Christmas เรื่องนี้ อาจจะไม่ค่อยได้ยินมา เรื่องนี้เคยเห็นใน pantip เขาแนะนำให้ดู แต่หาไม่ได้ เคยเจอ VCD แถวคลองถม แต่เป็นภาษาไทยเลยไม่ได้ซื้อมา

เรื่องนี้เป็นการ์ตูน animation ของ Tim Burton เป็นเรื่องของราชาแห่งความสยองขวัญชื่อ Jack เขาอยู่ในโลกของความตาย มีผีต่างๆมากมาย โดยที่เขาถูกยกย่องให้เป็นเจ้าแห่งบรรดาผีๆทั้งปวง

งานยิ่งใหญ่ในรอบปีของบรรดาผีๆ ก็คืองานวันฮัลโลวีน Jack นั้นอยู่กับงานฮัลโลวีนมานาน จนกระทั่งปีหนึ่งเขาเกิดเบื่อหน่ายและได้เดินทางจนค้นพบสถานที่แห่งหนึ่ง กำลังมีเทศกาลอย่างหนึ่งที่เขาไม่เคยพบมาก่อน โดยบังเอิญ เป็นเทศกาลที่มีแต่ความสุข สนุกสนาน ทุกอย่างดูแปลกและน่าสนใจ เทศกาลนั้นคือ คริสมาสต์

เขาได้พบกับซานต้าครอส และเขาก็อยากนำเทศกาลคริสมาสต์กลับไปแทนที่เทศกาลฮัลโลวีนที่เคยเป็นมา เขาพยายามนำเสนอรูปแบบของเทศกาลคริสมาสต์กับเพื่อนๆผีของเขา แต่ดูเหมือนว่า เพื่อนๆเขาจะไม่เข้าใจสักเท่าไร

หนึ่งปีผ่านไป ใกล้ถึงเทศกาลคริสมาสต์อีกครั้ง ตลอดระยะเวลา เขาและผองเพื่อนได้จัดเตรียมสิ่งต่างๆสำหรับคริสมาสต์ในแบบฉบับของพวกเขา โดยที่ Jack คิดว่าเขาจะเป็นซานต้าครอสแทน เมื่อถึงคืนคริสมาสต์ เขาให้เด็กผีทั้งสามไปลักพาตัวซานต้าตัวจริงมา

ส่วนตัวเขาเอง ก็ปลอมตัวเป็นซานต้า แล้วก็จัดการนำของขวัญ เตรียมไปให้กับเด็กๆ ด้วยกวางเรนเดียร์ก้าง แต่ผลลัพธ์ที่ได้ไม่เป็นไปตามที่เขาคิด เพราะของขวัญที่เขามอบให้เด็กนั้น มีแต่ความน่ากลัว บางชิ้นก็ทำร้ายเด็กๆ จนกระทั่งมีการแจ้งจับซานต้าปลอม และเขาก็ถูกยิงทิ้งร่วงลงมาจากท้องฟ้า

ท้ายที่สุดเขาก็รู้ว่า เขาเป็นราชาแห่งความสยองขวัญ เขาเหมาะสมที่จะเป็นเช่นนั้น ส่วนคริสมาสต์นั้นเหมาะสมกับซานต้า เขาจึงกลับไปช่วยซานต้าให้กลับมาทำหน้าที่ของเขาเหมือนเดิม

หนังเรื่องนี้ก็คงต้องการสื่อให้เราทราบหน้าที่ของตนเอง และทำหน้าที่นั้นให้ดีที่สุด หน้าที่ของคนคนหนึ่งก็อาจไม่เหมาะสมกับอีกคนหนึ่ง แต่ไม่รู้ว่าหนังต้องการสื่ออะไรที่มากกว่านี้อีกหรือเปล่า

ภายใต้ตัวละครผีๆทั้งหลาย ก็ยังมีความ romantic อยู่ด้วยน๊า

Sunday, November 06, 2005

วัดโพธิ์ - วัดอรุณ

วัดโพธิ์ (วัดพระเชตุพนวิมลมังคลาราม)

หมู่นี้ชีพจรลงเท้า ไปเที่ยวทุกสัปดาห์เลย แต่ก็ดีนะ ทำงานมาทั้งสัปดาห์ มาเติมพลังกันซะหน่อยก่อนที่จะไปมึนหัวต่อในวันจันทร์
วันนี้ออกจากบ้านแต่เช้า จุดมุ่งหมายก็คือ วัดโพธิ์กับวัดอรุณ แต่วันนี้มีเพื่อนไปด้วย ไม่โดดเดี่ยว ดีจังวันนี้จะได้มีรูปของเรา

ไปถึงราวๆ 10 โมงเช้า นักท่องเที่ยวเยอะมาก ส่วนมากเป็นชาวต่างชาติ ฝรั่งทั้งนั้น รถทัวร์มีตั้งหลายคัน ค่าเข้าชม 20 บาท คนไทยเข้าฟรี



ฉันเดินเที่ยวรอบนอกพระระเบียง และรอบพระมหาเจดีย์ จะพบตุ๊กตาจีนยืนเฝ้าประตู และก็มีตุ๊กตาจีนอีกมากมาย ถ่ายรูปซะเลย

รอบๆ จะมีเจดีย์ อยู่มากมาย ถ่ายรูปกันไม่หวาดไม่ไหว แต่อุปสรรคที่สำคัญคือ นักท่องเที่ยวเยอะมาก ต้องหาจังหวะดีๆที่จะได้มุมดีๆ ปราศจากคน


ดูๆแล้วเหมือนวันนี้ท้องฟ้าจะเป็นใจนะ เป็นฉากหลังได้ดี แต่อากาศร้อนไปหน่อย
ต้นสาละ

หลังจากที่กระหน่ำถ่ายรูปเจดีย์แล้ว เดินมาอีกซะหน่อยก็มาเจอต้นไม้ต้นนี้ล่ะ เห็นลำต้นและดอกแปลกดี เลยเข้ามาดูใกล้ๆ ต้นนี้คือต้นสาละ ได้ยินไกด์บอกว่า พระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานที่ใต้ต้นสาละนี่แหละ


ใกล้ๆกับต้นสาละ มีรูปปั้น ฤาษีดัดตน ในท่าต่างๆ เห็นจะมีแต่ที่วัดโพธิ์นี่แหละ
เห็นท่าทาง ฤาษีดัดตนแล้ว ทำให้อยากลองมานวดแผนไทยซะแล้ว ก็ไหนๆมาเที่ยววัดโพธิ์แล้วนี่ ว่าแล้วก็ชักชวนกันไปดูสถานที่ที่ทำการนวดแผนไทย


ลองเข้าไปเมียงๆมองๆดู สอบถามราคาได้ว่า นวด 1 ชม. ราคา 180 บาท อันนี้เป็นราคาคนไทยนะ ถ้าชาวต่างชาติละก็ 300 บาท ว่าแล้วก็ตัดสินใจลองดู มีเวลา 1 ชม.ก่อนเที่ยงพอดี

นวดแผนไทยเนี่ย ถ้าใครไม่เคยนวด ไม่รู้จะทนได้หรือเปล่า คือแต่ละครั้งที่มีการกดนวดแต่ละจุดของร่างกายนั้น เจ็บเหมือนกันนะ คือเจ็บเลยละ ข้อนิ้วของหมอนวดเนี่ยแข็งแรงมากจริงๆ ขนาดฉันเคยไปนวดแถวสีลมมาแล้ว 2 ครั้ง เจอการนวดของแท้เนี่ย....


พระพุทธไสยาส


เดินวนกลับมาทางเก่า ตอนเช้ายังไม่ได้เข้าไปไหว้หลวงพ่อโต เพราะคนเยอะมาก แต่ยังไงก็ต้องมาไหว้ ไม่งั้นเหมือนมาไม่ถึง
องค์พระพุทธไสยาส ช่างใหญ่โตมโหฬารจริงๆ สวยงามมาก จุดเด่นน่าจะเป็นลายประดับมุกที่พระบาทเป็นภาพมงคล 108 ด้วยประสิทธิภาพอันน้อยนิดของกล้องเรา ถ่ายได้อย่างที่เห็นเนี่ยแหละ ส่วนภาพเต็มองค์ ไปดูจากรูปในสถานที่ท่องเที่ยวที่คนอื่นๆถ่ายกันมาเยอะแยะแล้วกัน

เดินมาเห็นมี postcard วางขาย แผ่นละ 5 บาท สวยๆทั้งน้าน ซื้อมา 5 แผ่นละกัน เป็นของที่ระลึกจากวัดโพธิ์

วัดอรุณ (วัดอรุณราชวรารามวรมหาวิหาร)

ออกจากวัดโพธิ์ เที่ยงกว่าแล้ว ไปหาข้าวกินดีกว่า เดินมาจนถึงท่าเตียน ว่าจะข้ามไปฝั่งโน้นจะไปวัดอรุณ แวะกินข้าวตรงท่าน้ำ มีร้านอาหารอยู่ สั่งอาหารง่ายๆกินแล้วกัน (ข้าวกระเพราไข่ดาว อาหารยอดฮิต จานใหญ่ 40 บาท)

ข้างๆร้าน มีของที่ระลึกขาย มี postcard ด้วย แต่เอ.. ใบละ 2 บาท อ้าวแล้วไอ้ที่เราซื้อมา ใบละ 5 บาทเนี่ย ^_^ !


ค่าบริการเรือข้ามฟาก 3 บาท มองไกลๆเห็นพระปรางค์วัดอรุณ ถ่ายรูปซะหน่อย

มาถึงแล้ว ก่อนเข้าวัด เจอยักษ์เฝ้าประตูวัด ดูท่า ท่านยืนมานานแล้วกระมัง



เดินมาดูพระปรางค์ใกล้ๆ เพิ่งจะรู้ว่าประดับประดาด้วยด้วยกระเบื้องจากจีน สวยงามไปอีกแบบ บ่งบอกว่าในสมัยรัชกาลที่ 2 ศิลปะจากจีนเริ่มเข้ามาผสมผสานกับไทย
เดินมาได้สักพัก บรรยากาศเริ่มครึ้มแล้วล่ะ ไม่น่าเชื่อเลย ก่อนเข้าวัดยังแดดร้อนเปรี้ยงอยู่เลย ถ่ายรูปมาเลยดูมืดๆ ฟ้าไม่เป็นใจซะแล้ว


บนพระปรางค์ ขึ้นไปได้แค่ชั้นเดียว แต่ชันมากๆเลย ตอนแรกนึกว่าจะเปิดให้ขึ้นไปถึงชั้นบนได้ แต่ก็หวาดเสียวเหมือนกัน
ทัวร์วันนี้ จบเร็วหน่อย ก็ฝนตกลงมาแล้วซิ ไม่เป็นไร วันหลังค่อยมาเก็บรายละเอียดอีกแล้วกัน