Monday, June 16, 2008

ปักกิ่ง - Day 2

เช้านี้ อาหารเช้าเป็นบุฟเฟต์ของโรงแรม จะบอกว่าแทบจะไม่มีไรกินเลย อาหารส่วนใหญ่เหมือนจัดให้ชาวมุสลิมยังไงยังงั้น (เขียนป้ายกำกับอาหารว่า muslim) ข้าวต้มก็ไม่มีกับข้าวซะงั้น ตลอด 3 วันก็เลยกินขนมปัง แฮม(หมู 3 ชั้น) ไข่ดาว (อยู่นานกว่านี้ น้ำหนักขึ้นหลายโลแหง)

โปรแกรมตอนช่วงเช้า ไปดูหมีแพนด้าก่อนเลย

ครั้งแรกอีกเหมือนกันที่จะได้ดูเจ้าหมีแพนด้าเนี่ย ที่เชียงใหม่ก็ยังไม่ได้ไปดู หมีที่นี่ดูเหมือนมันจะมีอายุพอสมควร สังเกตจากสีขาวของมัน แทนที่จะขาว มันกลับเป็นสีหม่นๆออกเหลืองยังไงก็ไม่รู้


หมีแพนด้าทั้งหมด 8 ตัว อยู่ในห้องกระจก กำลังเอร็ดอร่อยกับใบไผ่ซะจริง หลายตัวนอนกินแบบสบายใจ อิจฉาโว้ย นั่งกินนอนกิน อยู่ในที่เย็นสบาย (อิจฉาแต่ไม่อยากเป็นแพนด้าซะหน่อย)

นั่งกิน นอนกิน อะไรจะสุขปานนั้น

ดูได้สักพัก พอสมใจอยากแล้ว ก็ออกมาเดินดูของที่ระลึก ทั้งตุ๊กตาหมี เสื้อหมี ได้ยินตอนหลังว่า สินค้าที่ขายได้ จะไปช่วยหมีแพนด้าที่อยู่บริเวณแผ่นดินไหว

บริเวณขายของที่ระลึก

โปรแกรมถัดมา ไปโลกใต้ทะเล ที่ชื่อว่า TAI PING YANG ระยะหลังเนี่ย ไปบ่อยมากแล้วอ่ะ Under Water World เนี่ยรู้สึกเฉยๆ นี่ถ้าไม่อยู่ในโปรแกรม ก็ไม่มาหรอกอ่ะ

แผนผังแสดงบริเวณจัดแสดงสัตว์น้ำ

ที่นี่ตรงบริเวณก่อนทางเข้าจะมีหอคอยสูงมากๆ นึกถึงหอคอยบรรหารเลยแหะ แต่ที่นี่สูงกว่า

หอคอยหน้าทางเข้า

ปลาที่นี่มีน้อย แต่ก็มีหลายตัวที่ไม่เคยเห็น แล้วก็ยังมีนกเพนกวิน คนมาเที่ยวชมก็น้อย ฝนบอกว่าที่ปักกิ่งมี under water world อยู่หลายที่

แมงกระพรุน ล่องลอย

ออกจากที่นี่ ไปนวดฝ่าเท้าที่ศูนย์วิจัยทางการแพทย์แผนโบราณ ที่นี่เขานวดให้ฟรี (รายได้หลักน่าจะมาจากการขายยาละมั้ง)ไกด์บอกว่าไม่ต้องให้ทิปคนนวดนะ เขาไม่รับ

ไปถึง มีคนบรรยายประวัติความเป็นมาพร้อมทั้งสรรพคุณยาแต่ละตัว คนบรรยายเป็นคนจีน น่าจะอายุประมาณ 60 ได้ แต่พูดไทยคล่องปรือ ท่าทางบรรยายมานานหลายปีแล้วอ่ะ ตัวยาสรรพคุณต่างๆไม่ต้องอาศัยโพย พูดได้น้ำไหลไฟดับ เรียงลำดับได้อย่างถูกต้อง

หลังบรรยายเสร็จ ก็มีเจ้าหน้าที่เข้ามานวดฝ่าเท้าให้ ต้องล้างเท้าด้วยน้ำอุ่นผสมสมุนไพรจีนเป็นซองๆ เขาบอกว่า เพื่อให้เลือดลมไหลดี และก็กำจัดกลิ่นเท้าด้วย

คนที่มานวดฝ่าเท้าให้ฉันเป็นเด็กหนุ่ม ดูอายุน่าจะสักประมาณ 25 ปี การนวดฝ่าเท้าของจีนจะไม่เหมือนของไทย ของไทยจะเจ็บกว่าอ่ะ ของจีนจะเป็นแบบนวดๆ ทุบๆ

(ไม่รู้ว่า ตอนที่คนนวดของฉัน กับ ของปาป๊า คุยกันเนี่ย จะแอบนินทา ขา(ใหญ่)ของฉันด้วยหรือเปล่า เห็นคุยไป ขำไป เริ่มระแวง อิอิ)

ระหว่างนวด ก็จะมีหมอแมะ คือหมอที่จับเส้นชีพจร เหมือนที่เห็นในทีวี แล้ววินิจฉัยว่า ร่างกายเราผิดปรกติตรงไหนบ้างหรือเปล่า ของฉัน หมอแมะบอกว่า เลือดลมไม่ค่อยดี สั่งยามาให้ 2 ตัว ของปาป๊าก็เกี่ยวกับไต สั่งยามาอีก 2 ตัว ฉันบอกว่า ขอปรึกษากันก่อน แต่สุดท้าย ทั้งครอบครัวฉันก็ไม่มีใครซื้อสักคน

เสร็จจากการนวด ฉันให้ทิปคนนวดไป 30 หยวน ไปแบ่งกัน 3 คน ก็ถือว่า ok น่ะ ไม่ได้ซื้อยาของเขาแล้วก็ถือว่าเป็นสินน้ำใจเล็กน้อย (แต่ดูคนนวดเขาก็รับไปอย่างยินดี ไม่เหมือนที่ไกด์บอกเลยแหะ)

อาหารเที่ยง...

ภาคบ่าย จะไปพระราชวังฤดูร้อนของพระนางซูสีไทเฮา ที่นี่ทำได้สวยงามดี ดูสงบ เห็นรูปถ่ายของซูสีไทเฮาด้วย

รูปปั้นสิงโต

กิเลน

หงส์และมังกร

ไกด์ฝนก็เล่าเรื่องราวของฮ่องเต้ที่เป็นหลานของพระนาง สถานที่ต่างๆ ข้างในมีหลากหลายห้องมากๆ มีทั้งห้องที่คุมขังฮ่องเต้ ห้องของขันทีคนสนิท (ดูแล้วกว้างขวางเทียบเท่ากับห้องของฮ่องเต้) ประวัติของโต๊ะกินข้าวของฮ่องเต้ที่สั่งทำพิเศษ (ฮ่องเต้ที่เป็นหลานของพระนาง ถูกบังคับให้แต่งงานกับคนที่ซูสีไทเฮาเลือกไว้ ฮ่องเต้ไม่ชอบฮองเฮาคนนี้ ก็เลยสั่งทำโต๊ะกินข้าว ข้างบนเป็นกระจกใส ข้างล่างไว้เลี้ยงปลา เวลากินข้าวก็จะมองเห็นแต่ปลาว่ายไปมา ไม่ต้องมองหน้าฮองเฮา – โห คิดได้ไงเนี่ย)


หินอัปมงคล ไม่มีใครเข้าไปถ่ายรูปอ่ะ

ที่พระราชวังแห่งนี้ จะมีระเบียงทางเดินที่ยาวที่สุดในโลก เป็นทางเดินที่มีหลังคาเหมือนเก๋งจีน มีภาพวาดแต่ละบล็อกที่ไม่เหมือนกันเลยสักภาพเดียว เมื่อเดินไปจนสุด จะไปพบเรือขนาดใหญ่ ดูเหมือนทำด้วยหินอ่อน สวยงามมาก เรือลำนี้น่าจะเป็นของพระนางซูสี ไว้สำหรับมาพักผ่อนในทะเลสาบ ทะเลสาบแห่งนี้ก็ทำด้วยแรงงานคนอีกเหมือนกัน เรือนี้จอดนิ่งอยู่ ไม่สามารถแล่นได้

บริเวณทะเลสาบ

ริมทะเลสาบ บรรยากาศสวยงาม

ระเบียงทางเดินที่ยาวทีสุด

เรือหินอ่อน

เดินเล่นที่นี่ได้เพลินๆ จริงๆตอนที่เดินตรงระเบียงยาวนั้น มองเห็นพระราชวังอีกแห่งอยู่ไกลๆ บนเขาต้องปีนบันไดขึ้นไปอีก ถ้ามีเวลากว่านี้ หรือแบบมาเที่ยวเอง คงได้ปีนขึ้นไปดูแน่เลย

พระราชวังบนเขา

ตอนเข้าไปเที่ยวไปสบายๆ ไม่มีอะไร แต่ตอนออกมาเนี่ยซิ เจ้าหน้าที่ดันมาฉีดยาฆ่าแมลงตรงทางเดินที่จะไปขึ้นรถบัส ตลอดทางเดินเลย ระดมฉีดแบบว่า ไม่น่าจะฆ่าแค่แมลงอย่างเดียวซะละมั้ง

นั่งพักเหนื่อยซะหน่อย

โปรแกรมถัดไปของวันนี้ ดูเหมือนจะมีแต่ shopping ซะแล้ว เพราะไปที่ร้านไข่มุก ไข่มุกที่นี่เป็นไข่มุกน้ำจืด หอยตัวหนึ่งก็จะมีมุกอยู่มาก เจ้าหน้าที่หยิบหอยมาตัวหนึ่ง แล้วให้ทายว่าข้างในน่าจะมีมุกอยู่กี่เม็ด แต่ละคนทายกันไม่ถูกหรอก เพราะข้างในมีตั้ง 33 เม็ด แต่ส่วนใหญ่จะเป็นเม็ดเล็กๆ ไปทำเครื่องประดับไม่ได้ ก็เอาไปทำเป็นผงครีม

ด้านหน้าร้านขายไข่มุก

รูปพระนางซูสีไทเฮา เพื่อการันตีความสวยงาม

คนขายที่นี่พอเห็นลูกค้าคนไทยมา เหมือนแมวเห็นหนูยังไงยังงั้น รีบตระครุบทันที เอาผงครีมมาลองทาให้ดู เสร็จสรรพเริ่มเปิดการขายทันที ซื้อ 3 แถม 1 ซื้อเท่านี้เท่านั้น ลดอย่างนู้นอย่างนี้ เพื่อนทัวร์ลองจับกลุ่มกันแล้วหันมาถามฉันว่า จะซื้อครีมหรือเปล่า

ไม่อ่ะ คือคำตอบสุดท้าย อิอิ

ฉันว่า ก็งั้นๆอ่ะ เมื่อก่อนก็ใช้ครีมกระปุกละเป็นพันก็มี ใช้ครั้งแรกๆก็รู้สึกดี แต่แล้วงั้นๆ ไม่มีอะไร ตอนไปเที่ยวปาย ไปซื้อโคลนมาพอกหน้า กลับมาใช้ไป 2-3 ครั้ง ทุกวันนี้ยังวางอยู่ที่บ้านเลย

ดูเหมือนเพื่อนทัวร์คนหนึ่ง เห็นว่า ฉันไม่ซื้อไรเลย ตั้งแต่ ยาจีน ไข่มุก ก็มาแซว(ไม่รู้เล่นหรือจริง) ตอนอยู่บนรถว่า เงินหยวนแบงค์เล็ก แลกคืนไม่ได้นะ

เหรอ (ใครเชื่อก็บ้าไปแล้ว) เหมือนหลายคนจะเชื่อ แต่ฉันไม่เชื่อหรอก เคยแลกมาไม่รู้กี่ครั้งแล้ว จะบอกกลับไปว่า ที่แลกไม่ได้คือเหรียญต่างหากล่ะ

แต่ก็ไม่ได้พูด เฉยๆ บอก อือม เหรอ

สนามกีฬาโอลิมปิค 2008 (สนามรังนก)

ตึกผู้สื่อข่าว (เป็นรูปคบเพลิง)

อาหารเย็น..

เสร็จจากอาหารเย็น ไกด์บอกจะพาไปชิมชาจีน โห มาชิมตอนเย็นค่ำเนี่ยนะ แล้วจะหลับป่ะเนี่ย

ชา

นี่ก็ชา

สาธิตการชงชา

เจ้าหน้าที่สาวจีน แต่งชุดจีนกี่เพร้า มาสาธิตอธิบายชาแต่ละชนิด แล้วก็วิธีชงชา ชาที่เอามาให้ชิม มีทั้งหมด 4 ชนิด
ชาหิมะ
ชา... อันนี้เป็นแผ่นกลมๆ วิธีการชงคือเอาไปต้ม
ชาอู่หลง
ชามะลิ

ฉันชิมแล้วก็รู้สึกว่า ชาหิมะน่าจะ ok ชาอู่หลง นี่ก็เคยกินแล้ว ส่วนชามะลิอ่ะ กลิ่นมะลิมัน..มะลิจริงๆ (ซะงั้น) ฉันว่าชามะลิบ้านเราจะหอมกว่านะ มันไม่ใช่กลิ่นมะลิเพียวๆ(เป็นงั้นไป)

พอเสร็จจากการชิมแล้ว ก็เปิดการขายอีกล่ะ คราวนี้ พนักงานแต่ละคน เข้าถึงลูกค้าแต่ละคนเลยทีเดียว (ไม่เหมือนที่ร้านไข่มุก ให้พวกเราแท็คทีมกันซื้อของ)

พนักงานก็มาถามๆฉัน เน้นของแพงเลย ก็ชา.. เนี่ย แม่บอกว่า ชา...นี้ ที่บ้านก็มี น้าเอามาให้ เห็นเป็นแผ่นกลมๆ ตอนแรกไม่รู้ว่าจะชงยังไง มาเห็นวิธีการชงจากที่นี่แหละ

ฉันชอบชาหิมะมากกว่า รู้สึกว่ากินแล้วชุ่มคอดี กระป๋องเล็ก 100 g ราคา 130 หยวน กระป๋องใหญ่ 200 g 200 หยวน ฉันว่าจะซื้อกระป๋องเล็กก็พอ พนักงานขายพยายาม sale เต็มที่ ประมาณว่า ซื้อ 2 กระป๋องใหญ่ แถมกระป๋องเล็ก ใครจะไปกินเยอะแยะขนาดนั้น

สุดท้าย กระป๋องเล็ก ต่อในราคา 100 หยวน ไม่ให้ก็ไม่เอา เฉยๆ ฉันว่าราคานี้ ยังไงก็กำไรเยอะอยู่ดี สุดท้าย คนขายทำหน้าเหมือนกับว่า ตัดใจขายยังไงยังงั้น

พอฉันควักกระเป๋าจ่ายตังค์เท่านั้นแหละ เพื่อนทัวร์คนนั้นก็ทำท่าปรบมือ ร้องเฮ ซะลั่น ประมาณว่า ในที่สุดฉันก็ยอมควักกระเป๋าจ่ายตังค์แล้ว

แหม ฉันเคยอ่านหนังสืออยู่เล่มหนึ่ง เขาบอกว่า ให้เห็นเงินเป็นมิตร มิตรของเรา เราก็อยากให้เขาอยู่กับเรานานๆ ทำไมบางคนชอบเห็นเงินเป็นศัตรู เห็นแล้วต้องรีบกำจัด ฉันเห็นด้วยกับข้อความในหนังสือ

ทัวร์คราวนี้ จะมีอยู่ 2 ครอบครัวที่ shopping เกือบทุกร้าน ฉันคอยลุ้นทุกครั้งที่เข้าร้าน shopping ว่าใครจะได้ของมากกว่าใคร

ก่อนขึ้นรถ ด้านหน้าก็มีชา เก็กฮวย ของแห้ง ขายอีก ครอบครัวแม่ลูก ซื้อชากลิ่นกุหลาบ เห็นเป็นดอกกุหลาบตากแห้งเลย จะบอกว่า ฉันเคยชิมตอนไปปายแล้ว it’s not ok เลย ฉันว่า ชากลิ่นดอกไม้ที่ ok สุด ก็ชามะลิ นั่นแหละ เคยกิน ชากลิ่น คาโมมายล์ (Chamomile) โอ้โห ผะอืดผะอม บอกไม่ถูก

โปรแกรมสุดท้ายของวันนี้ จะไปดูการแกะสลักน้ำแข็งเป็นรูปต่างๆ ก่อนเข้าไปเขาจะมีเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ให้ใส่ ท่าทางข้างในจะหนาวมากๆ

พอเข้ามาข้างในได้ประมาณ 2-3 นาที เท่านั้น ก็รู้ทันทีว่า ท่าจะอยู่ได้ไม่นานแน่ ถ่ายรูป พ่อกับแม่ได้ 2-3 รูป แม่ก็บอกไม่ไหว หนาวมาก ขอออกมาข้างนอกล่ะ

ฉันเดินออกไปส่ง พ่อกับแม่ แล้วก็รีบกลับเข้ามาข้างใน ข้างในนี้จะมีการแกะสลักเป็นสถานที่ต่างๆ แต่ก็มีไม่มาก สถานที่แรกที่เห็น จะเป็น หอเทียนฟ้า (ดีนะที่ไปมาแล้ว เลยรู้ว่าเป็นอะไร) , กำแพงเมืองจีน, olympic mascot , etc.




ถ่ายรูปข้างในต้องทำเวลาหน่อย ให้คุณไกด์หมูช่วยถ่ายให้ด้วย จริงๆ ถ้าตากล้องเจ๋งๆ น่าจะถ่ายรูปได้สวย เพราะ น้ำแข็งข้างในจะติดไฟหลากสี แต่ถ้าจะให้ดีต้องมีขาตั้งกล้องด้วย

อยู่ได้ไม่นาน ไม่ไหว ดูเหมือนเสื้อกันหนาวที่ใส่นั้น ไม่ได้ช่วยให้ความอบอุ่นเลยแม้แต่น้อย เพราะมันเหมือนสวมคลุมลงไปธรรมดา ฉันเคยได้ยินมาว่า วิธีการใส่เสื้อกันหนาว คือต้องใส่เสื้อแนบลำตัว ไม่ให้มีช่องว่างระหว่างเสื้อกับผิวหนังของเรา ถึงจะกันหนาวได้ แต่เสื้อกันหนาวที่ใส่แบบนี้ ก็เหมือนไม่ได้ช่วยอะไรจริงๆ

โปรแกรมวันนี้หมดแค่นี้ เหนื่อยเหมือนกันนะเนี่ย

0 Comments: