Saturday, February 25, 2006

Europe in Memories #1

ช่วงนี้พอมีเวลาว่างนิดหน่อย หลังจากส่งงานนอกเสร็จแล้ว ก็เลยไปหาบันทึกเก่าๆมาเก็บไว้ใน diary ของเราดีกว่า

ค้นหามาได้บันทึกชุดหนึ่ง เขียนเรื่องราวตอนไปฝรั่งเศสเมื่อ 12 ปีก่อน แต่มาบันทึกหลังจากกลับมาได้ 3 ปี ดังนั้น เนื้อหาอาจไม่ค่อยละเอียดมากนัก ได้ทั้งหมดก็ประมาณนี้แหละ (แฮะ แฮะ)

แต่กว่าจะเอามาลงได้ ก็นะ.. ต้องไปเอารูปทั้งหมดมาถ่ายซ้ำอีกครั้งด้วยกล้องดิจิตอล (ก็สมัยนั้นยังไม่มีนี่นา) แล้วก็ต้องมาทำ retouch อีกแน่ะ เสร็จสรรพเนี่ย จะเอารูปมาลง ปรากฏว่า web ที่เราเอาไปฝากรูปไว้ดันล่มอีกแนะ ก็เลย upload ไว้ที่ ดีดีจัง นี่แทน

บันทึกนี้ จะเขียนเหมือนให้ตัว lunar อ่านเองอ่ะ สำนวนก็อาจเปลี่ยนไปจากปัจจุบัน ส่วนรูปต่างๆก็ แฮะ แฮะ เน้นถ่ายตัวนางแบบ (อิอิ) พยายามคัดแล้วนะ ให้เอาวิว สถานที่ต่างๆให้มากที่สุด ก็ได้ยังนี้แหละ (อย่าเพิ่งเบื่อหน้านางแบบคนนี้นะ)

เอาล่ะ ถ้าพร้อมแล้วก็ .. Let's Go

สิงหาคม 2537
ฉันได้ไปอบรมที่ประเทศฝรั่งเศส เป็นระยะเวลา 7 สัปดาห์ ดีใจมาก รู้สึกตื่นเต้นมาก เราไปกัน 12 คนมี ฉัน, นง, พี่รังสี, พี่เล็ก(ชาย), พี่เอจ, พี่อั้น, พี่ป๋วย, พี่เล็ก(หญิง), เกียร์, ปั๋ง, อ๋อ, นอต พวกเราออกเดินทางประมาณ 4 ทุ่มของคืนวันที่ 26 สิงหาคม 2537 ไปกับสายการบิน KLM เที่ยวบินที่ KL878 ฉันได้ไปอบรมเกี่ยวกับ Transmission แปลกดีนะ ไปอบรมในสิ่งที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับงานที่ฉันทำเลย แต่ฉันก็ยินดีที่จะไป แม้จะรู้ว่า ต้องติดสัญญาต่อไปอีก 1 ปีครึ่ง นับตั้งแต่ กลับจากการอบรมที่ญี่ปุ่น เพราะอะไรหรือ ก็เพราะว่าฉันอยากไปนะซิ แต่ก่อนไป พวกเรา (ทั้งหลายที่อยากไปเที่ยว ก็มี พี่อั้น พี่เอจ เป็นต้น) ก็ได้ไปทำ VISA ของประเทศต่างๆก่อน โดยประเทศที่เราวางแผนกันไว้ ก็มีประเทศ อังกฤษ, สวิสเซอร์แลนด์, เยอรมัน, เนเธอร์แลนด์, เบลเยี่ยม, ลักเซมเบอร์ก เฉพาะฉันที่ทำ VISA 6 ประเทศ พี่ๆบางส่วน ก็เพิ่มเติม ประเทศ อิตาลี, สเปน เข้าด้วยละ ตกลงก็คือไปเที่ยวนั่นแหละ คิดเสียว่าบริษัทส่งไปพักร้อนก็แล้วกัน

เครื่องบินบินไปลงที่สนามบิน Schiphol, กรุง Amsterdam ประเทศเนเธอร์แลนด์ เราต้องรออีกประมาณ 4 ชั่วโมง เพื่อรอ transit ไปฝรั่งเศส เมื่อไปถึงฝรั่งเศส จำได้ว่าอากาศค่อนข้างเย็น (สำหรับเรา) เมื่อไปถึง ก็มีเจ้าหน้าที่เป็นผู้ชายวัยกลางคนจาก Alcatel มาต้อนรับขับสู้อย่างดี พร้อมกับพาไปกินอาหารจีน นับเป็นอาหารมื้อแรก เมื่อฉันย่างกรายไปฝรั่งเศส เสร็จสรรพจากอาหาร(เที่ยงมั้ง) เราก็ได้มีโอกาสได้นั่งรถเล่นนิดหน่อย โดยรถจะวิ่งไปบนถนน Champs-Elysees ผ่านสัญลักษณ์ของฝรั่งเศส ก็หอไอเฟลไง ผ่านประตูชัย เราได้แวะนิดหน่อย ก็เลยลงไปถ่ายรูปกันใหญ่ ก็ไหนๆมาที ก็ต้องถ่ายรูปใช่มั๊ย ทุกคนจะเอากล้องมากันหมด (ทุกคนจริงๆ) ส่วนฉันก็เอากล้องแบบที่เรียกว่า “ปัญญาอ่อน” ไป ทำไงได้ล่ะ ดันถ่ายรูปไม่เป็นนี่นา


หอไอเฟล



หลังจากที่ทุกคนถ่ายรูปเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็ขึ้นรถไปที่พัก ซึ่งก็อยู่ไม่ไกลจากประตูชัยสักเท่าไร ประมาณ 6-7 สถานีรถไฟใต้ดิน ถ้ามองจากบริเวณที่พักจะเห็นประตูชัยอยู่ไกลๆ ที่พักนี้จะเป็นโรงแรม ไม่หรูหรอก อยู่ในบริเวณที่เขาเรียกกันว่าเป็นเมืองใหม่ คือที่ฝรั่งเศสนี้เขาจะแยกเมืองเก่า กับเมืองใหม่เป็นสัดส่วน ใกล้ๆกับที่ที่ฉันพักอยู่ก็จะมีสถาปัตยกรรมแปลกๆมี ประตูชัยแบบเมืองใหม่ ใหญ่โตมโหฬารทีเดียว ได้ยินมาว่า ช่องตรงกลาง กว้างพอให้เครื่องบินบินผ่านได้ ไม่รู้จริงหรือเปล่า แล้วก็มีสถาปัตยกรรมแปลกๆอีก เช่นมีสระน้ำ มีน้ำพุ แล้วก็มีไม้ทรงแบบศิลป์ ปักอยู่รอบๆสระน้ำ ตอนกลางคืนเปิดไฟ ดูสวยดี

บริเวณใกล้ๆกับโรงแรมที่พัก

ประตูชัยเมืองใหม่

เราพักอยู่ที่นี่ 1 คืน ฉันกับนงพักห้องเดียวกัน จำได้ว่า หลังจาก check-in เรียบร้อยแล้ว เจ้าหน้าที่คนนั้น บอกว่า พรุ่งนี้จะมารับประมาณ บ่ายๆมั้ง หลังจากที่พวกเราเก็บกระเป๋าเรียบร้อยแล้ว ก็เริ่มอยากสำรวจแล้วซิ พวกเราก็นัดแนะกันออกไปเดินรอบๆ ไปกัน 7 คน มีฉัน, นง, พี่เอจ, นอต, เกียร์, ปั๋ง, อ๋อ ไปเจออะไรแปลกๆ ก็เที่ยวถ่ายรูปกันใหญ่ พี่เอจเอาขาตั้งกล้องไป ก็เลยได้ถ่ายรูปกันแบบรูปดีๆหน่อย พวกเราเดินกันไปค่อนข้างไกลเหมือนกัน จนเริ่มรู้สึกว่าเย็นมากแล้ว ประมาณ 6-7 โมงเย็น ก็เลยพากันกลับ ตอนเดินกลับ ฝนตกลงมาเล็กน้อย เมื่อกลับถึงที่พักรู้สึกว่าเพลียจัง ดูนาฬิกา 2 ทุ่มแล้ว แต่เอ.. ถ้าเทียบเวลาในเมืองไทยก็บวกไปอีก 5 ชั่วโมง ก็ประมาณตี 1 ไม่น่าละรู้สึกง่วงจัง คืนนั้น จำได้ว่า ต้มมาม่ากิน แล้วก็หลับไป

รุ่งขึ้น ฉันตื่นแต่เช้า ทำไมนะเหรอ ก็ประเภทอยากออกไปเดินเที่ยวน่ะซิ พวกเรา ทั้งหมด 12 คน ได้ออกไปเดินเที่ยวกัน โดยตั้งใจว่าจะเดินไปประตูชัยกัน ระหว่างทางก็จะเห็นเหมือนมีตลาดนัด มีของขายต่างๆเยอะไปหมด มีน้ำหอมขวดเล็กๆ ยัยนงเกือบจะซื้อเสื้อวู แต่ก็ยังไม่ซื้อ พวกเราเดินกันไปเรื่อยๆ เจออะไรก็แวะถ่ายรูปไปเรื่อยๆ จนถึงประตูชัย ก็หยุดแวะถ่ายรูปกันนานหน่อย แล้วก็พักกินมื้อเที่ยงกันที่นี่ จำได้ว่า กินแมคโดนัลล์ ที่นี่ถ้าเรากินแบบซื้อออกไปข้างนอก จะมีราคาถูกกว่าซื้อกินภายในร้าน คิดว่าเป็นเพราะว่า สถานที่นั่งภายในร้านมีน้อยมั้ง ตรงข้ามกับบ้านเราน่ะ

พวกเราแบ่งออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ เพราะอีกกลุ่มหนึ่งจะไปติดต่อซื้อตั๋ว Eurial Pass เพราะว่าไม่ได้ซื้อมาจากกรุงเทพฯ ส่วนฉันฝากพี่เอจซื้อมาตั้งแต่อยู่เมืองไทยแล้ว หลังจากจัดการกับอาหารมื้อเที่ยง ก็คิดกันว่าควรกลับดีกว่า เพราะนัดกับเจ้าหน้าที่เขาไว้ และต้องกลับไป check-out ด้วย ขากลับนี้สบายหน่อย เพราะว่าขึ้นรถไฟใต้ดินกลับ นับได้ว่าเป็นการขึ้นรถไฟใต้ดินครั้งแรกในประเทศฝรั่งเศส


ประตูชัย


เรากลับมา check-out ที่โรงแรม ตอนแรกนึกว่าคงไม่มีปัญหาอะไร ปรากฎว่าเจ้าของโรงแรมคิดค่า charge พวกเราเพิ่มเติมเป็นค่าทำความสะอาดห้อง คือที่โรงแรมนี้ ก่อนออกจากโรงแรมเราจะต้องทำห้องให้เหมือนกับครั้งแรกที่ check-in คือต้องจัดเตียง, ทำความสะอาดให้เรียบร้อย ไม่งั้นเขาจะคิดค่าบริการกับเราเพิ่มเติม ใครจะไปรู้ล่ะ เราก็คิดว่าเหมือนเมืองไทย ปรากฎว่าวันนั้นเราย่องๆออกมา ไม่รู้ว่าทาง Alcatel จัดการยังไง (พวกเราไม่กล้าถามซะด้วยซิ)

หลังจาก check-out เรียบร้อยแล้ว พวกเราก็โบกมือรา (ชั่วคราว) แล้วเราจะกลับมาที่นี่อีกในอีก 4 สัปดาห์ พวกเราไปสถานีรถไฟ เพื่อที่จะไปเมือง Lannion ซึ่งพวกเราจะต้องอบรมที่นี่เป็นเวลา 4 สัปดาห์ เกิดเรื่องให้น่าตื่นเต้นอีกแล้ว คือตั๋วรถไฟทั้งหมด พี่อั้นเป็นคนเก็บไป ทีนี้พอเราขึ้นรถไฟไป พี่อั้นดันหาตั๋วรถไฟไม่เจอ ไม่รู้ว่าเขาไปทำตกหล่นที่ไหน รถไฟเริ่มออก เราไม่รู้จะทำยังไงกันดี ตอนเจ้าหน้าที่มาตรวจ เราก็พยายามอธิบายให้เขาฟัง ไม่รู้ว่าเขาจะเชื่อหรือเปล่า แต่ดูเหมือนเขาคงเชื่อมั้ง เราอ้างบริษัท Alcatel คิดว่าเขาสามารถตรวจสอบได้

เมือง Lannion เป็นเมืองชายฝั่งทะเลอยู่ทางฝั่งตะวันตกของปารีสไปประมาณ 500 กม. ฉันได้นั่งรถไฟ TGV ซึ่งเป็นรถไฟที่วิ่งเร็วที่สุดในโลก (ในตอนนั้น) รถไฟวิ่งได้เรียบมาก ไม่เหมือนบ้านเรา รถไฟวิ่งประมาณ 3 ชม. จุดหมายปลายทางของเราคือสถานีแกงกองก์ (Gungamp) ระหว่างอยู่บนรถไฟ เจ้าอ๋อไปเจอสาวน้อยชาวฝรั่งเศสนางหนึ่ง (อายุประมาณ 10-11 ขวบ) ก็เลยชวนคุยไปเรื่อยๆ แต่ดูเหมือนเจ้าอ๋อ จะคุยอยู่คนเดียว เพราะดูท่าทางเด็กคนนั้นฟังภาษาอังกฤษไม่ออก

เมื่อไปถึงสถานีแกงกองก์ ประมาณ 5 โมงเย็น พวกเราต้องรีบทำงานอย่างหนัก ทำอะไรนะเหรอ ก็ต้องแทคทีมกันถ่ายเทกระเป๋าสัมภาระต่างๆ เพราะว่ารถไฟจะหยุดเพียงประมาณ 2 นาทีเท่านั้น (ข้อมูลนี้เรารู้มาจากรุ่นก่อนๆนี้) เมื่อไปถึง ก็มีเจ้าหน้าที่ Alcatel เป็นผู้หญิง แต่ไม่ใช่สาวฝรั่งเศสนะ เป็นสาวเวียดนาม แต่แต่งงานกับชาวฝรั่งเศส ชื่อ วันนี มีน้องสาวชื่อวันนา มาต้อนรับเราแล้วก็พาพวกเราไปสถานที่พัก โดยแบ่งกันขึ้นรถไปประมาณ 2 คัน รถที่นี่ เขาใช้พวงมาลัยซ้าย ขับรถเลนขวา ฉันรู้สึกแปลกๆดี แล้วเขาก็ให้นั่งรถ 1 คันมากที่สุด 5 คน ไม่งั้นผิดกฎหมาย

เมือง Lannion


เมื่อมาถึง สถานที่พัก เป็นโรงแรมเล็กๆชื่อ Bryan Hotel ตอนแรกฉันเข้าใจว่า พวกเราจะได้ไปพักที่โรงแรมชื่อ Mark Hotel เป็นโรงแรมที่อยู่ติดกับชายทะเล เพราะรู้มาจากรุ่นก่อนๆว่า พวกเราทุกคนที่มาอบรมที่นี่จะได้พักที่โรงแรมนี้ แต่มารู้ตอนหลังว่า โรงแรมนี้ปิดซ่อมช่วงที่เราไปพอดีก็เลยต้องมาพักที่ Bryan Hotel ไปชั่วคราวก่อน แล้วทาง Alcatel จะหาที่พักแห่งใหม่ให้

ฉันจำได้ว่า หลังจากที่วันนีตกลงเรียบร้อยกับเจ้าของโรงแรมว่านะพักที่นี่ระยะหนึ่ง พวกเราก็เตรียมย้ายกระเป๋าเข้าห้อง (ใครห้องมัน) ห้องหนึ่งอยู่ได้ 2 คน ฉันก็ได้อยู่กับนงเหมือนเดิม ทางเจ้าของโรงแรมบอกว่าเขายังไม่ได้เตรียมอาหารเย็น แต่จะทำ sandwich ให้ทานกัน เพราะขณะนั้น 2 ทุ่มแล้ว ฉันรู้สึกตกใจเพราะว่าฟ้ายังสว่างอยู่เลย เหมือน 5 โมงเย็นบ้านเรา

เจ้าของโรงแรมถามว่า พวกเรามากันกี่คน หลังจากทราบคำตอบ (จากใครบางคน) แล้ว เขาบอกว่า จะทำ sandwich ให้ 12 อัน แต่เจ้าอ๋อ คงหิวมากก็เลยบอกว่า twenty-four เมื่อ sandwich มาถึง พวกเราได้แต่มองหน้ากัน แต่ละคนมีสีหน้าขำ ก็เพราะว่า ทุกคนเมื่อได้ยินคำว่า sandwich จะต้องนึกถึง ขนมปังแบนๆนิ่มๆ 3 เหลี่ยม ที่มีใส้ตรงกลาง แต่ sandwich ที่นี่จะเป็นขนมปังกลมๆยาวๆ ขนาดใหญ่กว่าแขนคน เมื่อได้ลองชิม พวกเรากินกันไปก็หัวเราะเคล้าน้ำตา เพราะอะไรเหรอ ก็เพราะว่ามันแข็งมาก ฉันว่าถ้าเอาไปปาหัวหมาต้องแตกแน่ อย่าว่าแต่กิน 1 อันเลย กินครึ่งอันยังกินไม่หมดเลย ไม่รู้คนที่นี่เขากินกันได้ยังไง แข็งจริงๆ พวกเราก็เลยแซวเจ้าอ๋อว่า “ ใครนะบอกว่า twenty four เดี๋ยวเขาทำมาให้จริงๆหรอก” ตอนนั้นคิดว่า ขนมปังที่นี่ไม่อร่อยเลย (แต่ตอนหลัง เมื่อเทียบกับ ประเทศอื่นๆ ถึงได้รู้ว่า ขนมปังฝรั่งเศส อร่อยที่สุด)

สถานที่อบรมของ Alcatel


รุ่งเช้า วันนีก็มารับพวกเราไปสถานที่อบรมของ Alcatel วันแรกก็เรียนไปได้ครึ่งวัน พักกลางวัน เขาจะให้เงินเราจำนวน 200 ฟรังค์ ต่อสัปดาห์ เป็นค่าอาหารกลางวัน และให้การ์ดโทรศัพท์จำนวน 2 ใบต่อสัปดาห์ โทรกลางวันกลับเมืองไทยได้ประมาณ 5 นาทีต่อใบ

เที่ยงนั้นได้กินอาหารฝรั่งเศสแบบเต็มๆมื้อแรกที่ศูนย์ฝึกอบรมของ Alcatel อาหารที่นี่ เขาจะมีเป็นจานๆไว้ให้ เราไปถึงก็เลือกเอา อยากกินอะไรก็เลือกเอา หลักการคร่าวๆ ก็มี starter, main dish, dessert ตบท้ายด้วยกาแฟแก้วเล็กๆแต่เข้มข้นมาก ฉันได้กินอาหารหลายๆอย่างที่ไม่เคยกิน เช่น เนื้อแกะ เป็นต้น เป็นอะไรที่ไม่รู้ คิดว่าเป็นเนื้อหมู ก็เลยชี้ๆเอา หลังจากตักใส่ปาก โอ้โฮ เหม็นสาบมาก เราจะคายก็น่าเกลียด ก็เลยต้องจำใจกลืนเข้าไป เฮ้อ.. ส่วนใหญ่แล้วตลอดเวลาที่กินอาหารที่ศูนย์นี้ ก็ดีอย่าง ได้กินอาหารครบ กินแบบอิ่มมาก ได้กินผลไม้ที่ไม่ค่อยได้กิน เช่น กีวี, ลูกพีช, ลูกแพร และผลไม้แปลกๆอื่นๆ รวมทั้งอาหารแปลกๆ แต่ข้าวไม่ค่อยมีกิน ถ้ามีจะเป็นข้าวสีเหลืองๆ ฉันกินแต่ french fried เสียจนเบื่อ french fried ไปเลย ถ้าวันไหนไม่ได้กินอาหารที่ศูนย์ก็กลับไปทำกินที่บ้านพัก หนีไม่พ้น มาม่า หรือกับข้าวจำพวกไข่นั่นแหละ

หลังจากทานอาหารกลางวันในวันแรกเสร็จ พวกเราก็ได้รับรถ 3 คัน ทาง Alcatel ให้รถพวกเรามา เป็นรถเปอร์โยต์ 305 สีขาวทั้ง 3 คันเลย พวกเรารู้มาก่อนแล้วว่ามาที่นี่จะต้องขับรถ พี่รังสี, พี่เอจกับอ๋อ ก็ต้องไปทำ International Passport มาตั้งแต่อยู่เมืองไทย วันนีพาพวกเราไปที่ Supermarket ใกล้ๆกับที่พัก เป็น supermarket ขนาดใหญ่แบบขายส่ง พวกเราก็จัดแจงซื้อข้าวปลาอาหารและของที่ต้องการอื่นๆกลับไป ตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ ฉันได้กินน้ำผลไม้แปลกๆ หลายรส บางขวดก็ผสมผลไม้ 4 ชนิด, 5 ชนิดก็มี รสชาดก็แปลกดี

อาหารเย็นตลอดเวลาที่พักอยู่ที่ Bryan Hotel เราจะไม่ทำเอง แต่จะสั่งจากโรงแรม แต่ว่าจะกินได้ที ไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะอะไรหรือ ก็เพราะว่าคนที่นี่ไม่ยอมพูดภาษาอังกฤษนะซี เขาฟังไม่ออกและไม่พูดด้วย เวลาเราจะสั่งอาหารที เราต้องเปิด dictionary ภาษาฝรั่งเศส (โชคดีนะที่พี่ป๋วยเอา dict. ไปด้วย) และเวลาสั่งอาหารเราต้องเขียนเมนูแบบพื้นๆ เช่น ข้าว+ไก่+ไข่ หรือ ข้าว+ปลา อะไรทำนองนี้ แต่คือเขียนเป็นภาษาฝรั่งเศสแทน ก็พอจะประทังชีวิตไปได้บ้าง ส่วนอาหารเช้าที่นี่ไม่ต้องบอกก็รู้ คือคนยุโรปนี่เขาจะกินอาหารเช้าแบบมีขนมปังครัวซองค์ ทาแยมหรือเนย ประมาณ 2 อันแล้วก็น้ำผลไม้, ตามด้วยชาหรือกาแฟ กินได้อาทิตย์เดียว แค่นี้ก็เบื่อจะตาย ไม่รู้ว่าถ้าสมมุติว่าอยู่สักหนึ่งปี จะเป็นโรคขาดสารอาหารหรือเปล่า

Ploumanach

Ploumanach


อยู่ที่ Bryan Hotel ได้สัปดาห์เดียว ตลอดสัปดาห์ก็ไม่มีอะไรตื่นเต้น ไปเรียนแล้วก็กลับ มีไปเที่ยวชายหาดแถว Perros-Guirec บ้าง แถว Ploumanach บ้าง ขับรถเที่ยวตระเวนรอบๆเมืองบ้าง อากาศดีมาก แต่อาจจะเย็นสักหน่อย ไม่กล้าลงน้ำทะเลเพราะน้ำเย็น มีอยู่คืนหนึ่ง พี่เอจชวนนั่งรถเที่ยวรอบเมือง คืนนั้นไปกัน 4 คน มีฉัน, พี่เอจ, นง, อ๋อ แต่ขับรถไป 2 คัน ถนนหนทางก็ยังไม่รู้จักดีเท่าไร หลงกันไปก็หลงกันมา แต่สุดท้ายก็กลับมาที่พักได้ แต่ปรากฎว่า เมื่อตอนก่อนออกไปเราฝากกุญแจไว้กับโรงแรม ตอนกลับมานั้นดึกมาก ที่เคาเตอร์นั้นปิดไปแล้ว ฉันกับนงก็เลยเข้าห้องไม่ได้ ต้องอาศัยไปนอนห้องพี่เอจกับพี่รังสี ห้องพี่เขากว้างมาก กว้างกว่าห้องเราตั้งเยอะ

พอถึงวันศุกร์ จริงๆแล้วก็คืออยู่ที่ Bryan Hotel ได้ประมาณ 5 คืนเท่านั้น เราทั้งหมดก็ต้องย้ายไปหาที่พักที่ใหม่ เราต้องแยกเป็น 3 กลุ่ม กลุ่มของฉันเป็นผู้หญิงล้วน และมีพี่รังสีอีกคน บ้านที่เราอยู่นั้นเป็นบ้านที่เจ้าของบ้านให้เช่า เป็นบ้านที่เหมือนกับบ้านที่เคยเห็นในทีวี คือเป็นบ้านแบบชั้นเดียวเล็กๆ บ้านอิฐ มีปล่องไฟ มีห้องใต้หลังคา 2 ห้องเป็นห้องนอน พวกเราผู้หญิง 4 คนนอนในห้องใต้หลังคานี้ ส่วนพี่รังสีนอนชั้นล่าง บ้านนี้ก็ดูอบอุ่นดี มีเครื่องอำนวยความสะดวกทุกอย่าง มี heater, เครื่องซักผ้า, เครื่องล้างจาน ฯลฯ เสียแต่ว่าเครื่องทำน้ำอุ่นเป็นแบบเก่า คือเป็นแบบใช้แก๊ส และการปิดเปิดจะมีช่วงเวลา บางครั้งที่เราสระผม ก็ใช้เวลานาน ปรากฏว่าแก๊สตัดไป เราก็ต้องอาบน้ำแบบน้ำเย็น(มาก) ปัญหานี้แก้ได้โดยเมื่อพวกเราจะสระผม ก็ไปสระที่บ้านของกลุ่มอื่นแทน

อีก 2 กลุ่มที่เหลือ กลุ่มแรกนี้มี 3 คน พี่เล็ก, พี่เอจ และพี่อั้น สถานที่พักจะเป็นแบบ apartment อยู่เชิงเขา อากาศถ่ายเทดี อีกกลุ่มมี 4 คน ปั๋ง, อ๋อ, เกียร์ และนอต ไปพักใกล้ๆกับ Mark Hotel จะติดกับทะเล บรรยากาศดีมาก ก่อนวันที่เราจะไปหาบ้านพักกันนั้น กลุ่มฉันได้ที่พักก่อน ส่วนกลุ่มอื่นยังอยู่ที่ Bryan Hotel

เมือง DINAN


เช้าวันเสาร์ที่ 3 กันยายน ทาง Alcatel ได้จัดทัวร์ไปเที่ยวที่เมือง DINAN รถออกแต่เช้า นอกจากกลุ่มเราแล้ว ก็ยังมีกลุ่มอื่นที่มาจากชาติอื่นอีก และก็ยังมี จ๋า อีกคน เป็นพนักงานเก่าของ 3T แต่ลาออกไปทำงานที่ Alcatel เรานั่งรถบัสคันใหญ่ และทานอาหารเช้า (แบบเดิมๆ) ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง โดยที่ทาง Alcatel จัดไว้เรียบร้อยแล้ว ไปถึงเมือง DINAN พอดีช่วงที่เรามานี้ เขามีงานแบบการแต่งตัวในยุคสมัยเดิมๆ มีการแสดง, การละเล่นต่างๆในยุคเก่า เช่นการฟันดาบ ประกอบกับเมืองแห่งนี้ สถานที่ยังเป็นแบบโบราณ ตึกเก่าๆ ก็เลยเข้ากันได้ดี พวกเราอยู่ที่นั่นทั้งวัน ก็เดินเล่นไปเรื่อยๆ เห็นอะไรแปลกๆ ก็ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ ฉันก็ถ่ายรูปมาเยอะเหมือนกัน มีหลายรูปถ่ายกับคนที่นั่น แต่งตัวแบบสมัยเก่าๆ ตอนเย็นๆก็มีการเดินพาเหรด กลับจาก DINAN ก็ดึกแล้ว วันนั้น อาหารเย็นของพวกเราก็คือ ต้มมาม่ากินกันที่บ้าน

งานแสดงที่ DINAN

งานแสดงที่ DINAN

0 Comments: