Saturday, February 25, 2006

Europe in Memories #2

กลับจากเที่ยวที่ DINAN รุ่งขึ้น เราต้องจัดการกับสถานที่พักของกลุ่มที่เหลือ สุดสัปดาห์เราก็วางแผนกันว่าจะเริ่มทัวร์ต่างประเทศกันแล้ว โดยเราจะไปประเทศอังกฤษก่อน เราเริ่มเดินทางบ่ายวันศุกร์ที่ 9 กันยายน คือว่าส่วนใหญ่แล้วประเทศแถบยุโรปนี้ เขาจะไม่ทำงานกันในวันศุกร์บ่าย เหมือนเป็นธรรมเนียมไปแล้ว พวกเราเลยได้โอกาส กลับบ่ายๆวันศุกร์ กลับถึงบ้านก็กินอะไรนิดหน่อย เอากระเป๋าเสื้อผ้ายัดใส่รถ จุดหมายของพวกเราคือท่าเรือ CEAN PORT อยู่อีกเมืองหนึ่ง ไกลเหมือนกัน

พวกเราขับรถกันไป 3 คันเหมือนเดิม ใช้เวลาหลายชั่วโมงกว่าไปถึง เพราะไม่รู้จักทาง และต้องรอกันไปมาด้วย ไปถึง CEAN PORT ได้ขึ้นเรือที่จะพาเราไปประเทศอังกฤษ เป็นเรือลำใหญ่เหมือนกัน พวกเราต้องนอนกันที่นี่ 1 คืน บนเรือก็มีสถานที่ให้เดิน shopping พวกขา shop ก็ชอบไปเดินกัน ฉันก็ไปเดินเหมือนกัน ดูของเทียบราคาไปเรื่อยๆ จนไม่รู้ว่าจะดูอะไร ก็กลับมานอน ที่ที่พวกเรานอน ก็เป็นที่นั่งธรรมดา เลยนอนลำบากมาก และยิ่งนอนบนเรือด้วย คือบางครั้งเรือก็โคลงไปมา ฉันรู้สึกหลับๆตื่นๆทั้งคืน รุ่งเช้า ได้ยินพวกเราแซวกันว่า เอ๊ะ เมื่อคืนได้ยินใครบางคนละเมอว่า “สุพรรณหงษ์ ทรงภู่ห้อย…” ถามกันไปมาก็รู้ว่าเป็นเจ้าปั๋งเอง


หอนาฬิกา Big Ben



ไปถึงอังกฤษเช้าวันเสาร์ที่ 10 ที่นี่อากาศค่อนข้างเย็น ก็เป็นประเทศที่เป็นเกาะนี่นา ที่นี่เวลาจะช้ากว่าประเทศฝรั่งเศส 1 ชม. เราเลยต้องปรับนาฬิกากัน อยู่ที่นี่ค่อยยังชั่วหน่อยเรื่องภาษา สื่อสารกับคนที่นี่ได้ง่ายกว่าที่ฝรั่งเศส เรามาถึงขึ้นที่ท่าเรือ PORTSMOTH ต้องมีการตรวจกันเล็กน้อย

ออกจากท่าเรือก็มารอรถเมล์ที่จะพาเราเข้าไปในเมือง พี่เอจเขานัดกับเพื่อนของเขาที่มาเรียนที่นี่ให้ช่วยพาเที่ยว โดยนัดกันที่สถานีรถไฟในเมือง หลังจากที่พวกเราเจอเพื่อนพี่เอจ ก็เริ่มการตระเวนทัวร์ เริ่มจากไป Tower Bridge และก็ไปอีกหลายๆที่ เสียดายฉันไม่ได้จดเอาไว้ คือตอนนั้นรู้สึกงงๆ เขาพาไปไหนก็ไป จำไม่ค่อยได้ แต่ก็ถ่ายรูปเก็บมาตามสถานที่ต่างๆที่ไป

และก็ไปสถานที่ shopping ที่ดังที่สุดของอังกฤษ ก็ Mark & Spensor ไง ฉันซื้อเครื่องสำอางค์มานิดหน่อย เรา shopping ที่นี่นานเหมือนกัน และก็ไป shopping แถวๆนั้นด้วย หลายคนซื้อรองเท้า Next ที่โด่งดัง ส่วนฉันไม่ค่อยได้ซื้ออะไร อ้อ.. ซื้อถุงมือหนังแบบผู้หญิงมา 1 คู่ราคา 4.99 ปอนด์ ประมาณ 200 บาท กะเอาไว้ว่าจะเอาไปใช้ที่สวิสเซอร์แลนด์


วันนั้นเราไปกันหลายที่ เราได้พบกับคนไทยคนหนึ่งโดยบังเอิญ ตอนอยู่ในรถไฟ เป็นพี่ผู้หญิงมาเรียนที่นี่ เขาได้ยินพวกเราพูดภาษาไทยกัน ก็เลยเข้ามาทัก รู้สึกเขาจะดีใจมาก เพราะว่าไม่ได้พูดภาษาไทยมานานแล้ว ตกเย็นพวกเราก็เตรียมกลับไปหาสถานที่พัก เพื่อนพี่เอจเขาจัดการหาที่พักเป็นแบบที่เรียกว่า B&B ย่อมาจาก Bed and Breakfast คือจะเป็นที่พักแบบที่เขาให้พักชั่วคราว 1 หรือ 2 คืน และจะมีอาหารเช้าไว้ให้ด้วย จำราคาไม่ได้เหมือนกัน เมื่อเราได้ที่พักแล้ว วันนั้นเราเหนื่อยมาก เพราะเดินกันทั้งวัน แถมยังสะพายเป้อีกคนละใบ (พวกเราประเภท งก ไม่ยอมฝากกระเป๋าไว้ ก็เลยต้องแบกหนัก)

เย็นนั้น เพื่อนพี่เอจบอกว่าจะพาไปกินอาหารจีน พวกเจ้าปั๋ง ไม่ยอมไปด้วย สงสัยคงเหนื่อยจัด บอกว่าจะต้มมาม่ากิน แต่พวกเราเกลี้ยกล่อมจนยอมไปกันทั้งหมด อาหารค่ำวันนั้น อร่อยมากจริงๆ พวกเรากินกันเยอะมาก ลืมเรื่องราคาไปเลย แต่ราคาก็ไม่แพงมาก ก็สมน้ำสมเนื้อดี กินเสร็จ พวกเราก็ยังมีแรงไปเดินย่ำราตรีกันอีก ตอนแรกกะว่าจะไปเที่ยวผับกัน

ได้ยินมาว่าที่ประเทศอังกฤษนี่ ผับเขาจะดีมาก ไม่ใช่ผับที่มีเสียงดังอึกทึก ก็เลยจะไปกัน แต่รู้สึกว่าจะปิดหรือยังไงเนี่ย จำไม่ได้เหมือนกัน ก็เลยเดินเที่ยวไปเรื่อยๆ ถ่ายรูปกันไป ได้ถ่ายรูป Tower Bridge ตอนกลางคืน ก็สวยแปลกไปอีกแบบ แต่ตอนเดินกลับที่พักเนี่ยซิ ฉันเดินจนมีความรู้สึกว่า ขามันเดินไปเองจริงๆนะ เหมือนเราไม่ได้ควบคุม คืนนั้นหลับกันสนิทจริงๆ

Big Ben ตอนกลางคืน



เช้าวันอาทิตย์ เราก็เริ่มตระเวนทัวร์กันจริงๆ เริ่มจากไปดูทหารสวนสนามที่พระราชวัง, ไป Big Ben , อาคารรัฐสภา และก็อีกหลายๆที่ (จำไม่ได้อีกตามเคย) ได้ไปขี่รูปปั้นสิงโต เลยรู้สึกว่าเหมือนเด็ก แต่ทุกคนที่ไปก็ขึ้นไปขี่กัน แล้วก็ถ่ายรูปกัน ไม่ใช่ขี่ได้ง่ายๆเหมือนกันนะ เพราะว่าสิงโตตัวใหญ่มากและก็สูงมาก เห็นท่าแต่ละคนเวลาขึ้นขี่สิงโตแล้ว..ขำกลิ้งจริงๆ


ต่อจากนั้น ก็มีการโหวตว่าจะไปตลาดนัด หรือไปพิพิธภัณฑ์หุ่นขี้ผึ้งมาดามทุซโซ ฉันอยากไปพิพิธภัณฑ์ แต่แพ้โหวต ก็เลยต้องไปเดินตลาดนัดแทน ปิดท้ายรายการทัวร์ด้วยการไปดูนาฬิกาสวิส ที่ทุกๆชั่วโมงจะมีการตีบอกเวลาที่ไม่เหมือนที่ไหน คือจะหุ่นรูปปั้นออกมาเต้น, เดินรอบๆนาฬิกานั้น

เย็นนั้นเราตบท้ายอาหารเย็นด้วยการกินอาหารจีน (อีกแล้ว) แต่เป็นแบบจานเดี่ยว เช่น ข้าวหมูแดง แต่จานหนึ่งของที่นี่กินอิ่มจริงๆ คือจานหนึ่งเขาใหญ่มาก กินจนพุงกาง เสร็จสรรพเราก็นั่งรถไฟไปท่าเรือ เพื่อกลับฝรั่งเศส



เช้าวันจันทร์ที่ 12 เราถึงที่ท่าเรือ CEAN PORT พวกเราต้องทำเวลากันเพื่อกลับไปเรียนในเช้านั้น พวกเราจะมีปัญหากันเล็กน้อย ก็เลยต่างคนต่างกลับ เจ้าอ๋อบอกว่าจะขับรถตามพี่รังสีกลับ ปรากฏว่าพวกเราไม่ชำนาญทางกัน และดูแผนที่ผิด ก็เลยขับรถไปออกอีกที่หนึ่ง เสียเวลาไปหลายชั่วโมง กลับมาที่เดิม วันนั้นกว่าจะกลับไป Alcatel ก็ประมาณบ่ายแล้วละ แต่อาจารย์ใจดีมาก ก็เลยไม่ได้สอนอะไรมาก แล้วก็ปล่อยพวกเรากลับที่พักไปนอน

สุดสัปดาห์ ทาง Alcatel บอกว่าวันเสาร์จะพาพวกเราไปเที่ยวที่ St.Malo, St.Micheal ให้พวกเราเตรียมตัวกัน เย็นวันศุกร์ เราได้บัตรไปเที่ยวผับแห่งหนึ่ง จากวันนี ดีจังได้มาเที่ยวผับในฝรั่งเศสด้วย คืนนั้นเราไปกันหมด อาจารย์ที่น่ารักก็ไปด้วย

ผับนี้จะมี 2 ชั้น ชั้นแรกจะมี floor ไว้ให้นักเต้น แต่ floor ที่นี่จะเล็กมาก เพลงเปิดตั้งนาน ไม่เห็นมีนักเต้นคนไหนจะออกไปเลย เรานั่งรอสักครู่ ก็เริ่มมีนักเต้นออกไปบ้าง เราก็รีรออยู่ สักครู่อาจารย์ก็มา อาจารย์บอกว่า ชั้นบนดีกว่า จะเป็น floor เต้นรำลักษณะการเต้นเข้าจังหวะ พวกเรานั่งดูไปเรื่อยๆ สักครู่ก็มีไอ้หนุ่ม (ดูอีกที ก็ไม่หนุ่มแล้วละ) ฝรั่งเศส มาขอนั่งด้วย ดูเขารู้สึกสนใจนง เห็นคุยกับนงคนเดียว แถมเลี้ยงน้ำส้มต่างหาก พี่เอจไปคุยกับคนนี้สักพัก ก็หัวเราะออกมา บอกว่า เขาคิดว่าฉันแต่งงานแล้ว ไอ้บ้าเอ๊ย คิดอย่างนี้เราก็แย่นะซิ

พวกเราดูสักครู่ก็ตัดสินใจกันว่า ลองขึ้นไปดูชั้นบนดีกว่า พอเห็นบรรยากาศชั้นบนแล้วรู้สึกว่าสนุกจัง เห็นอาจารย์เต้นรำสนุกดี อาจารย์มาชวนพวกเราออกไปเต้นรำด้วย ฉันก็ออกไปเต้นเหมือนกัน โดยอาจารย์จะช่วยสอนจังหวะการเต้นด้วย สนุกดี


St.Malo, St.Micheal


ออกจากผับ จำไม่ได้ว่าตีอะไรแล้ว บางคนลงทุนไม่ยอมนอน เพราะกลัวไม่ตื่น เช้าวันเสาร์นั้น เราก็ไป St.Malo, St.Micheal หอบหิ้วขนมปังทำเป็น sandwich (แบบไทย) ไปด้วย ในทัวร์กลุ่มนี้มีกลุ่ม Transmission อีกกลุ่มไปด้วย และจะมีพวกแขก-อินเดียด้วย เหม็นกลิ่นเนยชะมัด

นั่งรถไปรู้สึกว่าเส้นทางชักคุ้นๆ อ้อเส้นทางนี้เคยมาแล้วนี่นา ตอนไป DINAN และก็จริงด้วย เพราะได้กินอาหารเช้าที่โรงแรมเดียวกับเมื่อคราวก่อน คราวนี้พวกเรารู้สึกเป็นงานกัน รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง เสร็จสรรพ ไป St.Malo, St.Micheal

สถานที่นี้จะเป็นปราสาทที่ตั้งอยู่บนเชิงเขา คาดว่าบางช่วงฤดูกาลจะมีน้ำล้อมรอบ ตอนไปจะไม่เห็นน้ำ คือจะเหือดแห้งไปแต่เห็นร่องรอยของน้ำ (ไม่รู้เข้าใจถูกหรือเปล่า) แต่อากาศหนาวมากเลย ลมพัดที หนาวเย็นยะเยือกจริงๆ


ภายใน St.Malo, St.Micheal


วันอาทิตย์ วันนี้เราไม่มีโปรแกรมจะไปไหน คิดว่าควรออกไปบางแห่งที่ยังไม่เคยไป ก็เลยกางแผนที่ดู ดูไปดูมาก็ขับรถไปเรื่อยๆ ไปสิ้นสุดที่ที่เป็นชายฝั่งอีกด้านที่เรายังไม่เคยไป ถ่ายรูปเก็บเอาไว้ วันนี้จะเป็นวันอาทิตย์สุดท้ายที่ Lannion นี้ เพราะวันศุกร์จะเป็นวันสุดท้ายของการอบรมที่นี่
สุดขอบชายฝั่งของ Lannion

เย็นวันหนึ่งในสัปดาห์นั้น (อาจเป็นวันพุธหรือพฤหัส) พวกเราคิดว่าควรเลี้ยงตอบแทนกลับคืนทาง Alcatel พวกเราเล็งกันว่าจะไปเลี้ยงที่ร้านอาหารเวียดนาม (หรือ เขมร ชักไม่แน่ใจ) ร้านอาหารที่ประเทศแถบยุโรปนี้จะมีเอกลักษณ์แบบหนึ่งคือ เขาจะไม่มีพนักงานมากเหมือนประเทศเรา ส่วนใหญ่แล้วเจ้าของร้านจะทำหน้าที่เกือบทุกอย่าง คือเป็นตั้งแต่เจ้าของร้าน, รับ order ลูกค้า, เป็นพ่อครัว, เด็กเซิรฟ์อาหาร, เช็ค bill ด้วย ดังนั้น ร้านร้านหนึ่งจะมีพนักงานเพียงคนหรือสองคนเท่านั้น

วันนั้นเราไปกัน 15 คน กว่าอาหารแต่ละอย่างจะมา กว่าจะกินเสร็จก็ประมาณ 4 ทุ่ม กินอาหารที่ร้านนี้ประทับใจอยู่อย่างหนึ่งคือ เรื่องของหวาน พวกเราอ่านเมนูแต่ละอย่าง ให้ความรู้สึกว่าน่ากินมาก (แต่จำรายละเอียดไม่ได้) เช่น Coconut Cake (ทำนองนี้) พวกเราก็วาดภาพกันไป ปรากฎว่า ออกมาเป็น ขนมถั่วตัด และก็มีอย่างอื่นอีก ของหวานแต่ละอย่างเวลาเจ้าของร้านยกออกมา พวกเราก็ต้องคอยลุ้นกันไปว่า มันคืออะไรนะ ก็สนุกดี ได้หัวเราะหลังอาหาร

คืนนั้นหลังจากอาหารค่ำเรียบร้อย กลุ่มของฉันก็กลับที่พัก มารู้ตอนหลังว่า อีก 2 กลุ่มเขาได้ไปเที่ยวบ้านอาจารย์กัน ได้กินไวน์ แถมอาจารย์ก็เล่นไวโอลินให้ฟังด้วย น่าอิจฉาจริงๆไม่ยอมบอกเรา

อาจารย์ที่น่ารัก

เมือง Lannion ตอนกลางคืน

ก่อนจากเมือง Lannion ฉันขอถ่ายรูปบ้านน้อยที่น่ารักพร้อมกับเจ้าของบ้านไว้เป็นที่ระลึกก่อนจาก เจ้าของบ้านหลังนี้บอกว่าเคยมาเที่ยวเมืองไทยแล้ว แถมยังเอารูปออกมาให้พวกเราดูด้วย อัธยาศัยดีมาก

วันศุกร์พวกเราไม่ได้เรียนกัน ปิดคอร์สไปตั้งแต่วันพฤหัสแล้ว วันนี้เขามอบประกาศนียบัตรให้และให้ของที่ระลึกจาก Alcatel อีกหลายอย่าง เช่น เครื่องประดับแขวนผนังเป็นไม้รูปเรือ สัญลักษณ์ของเมือง Lannion และก็มี เสื้อยืด, ไฟแช็ค, พวงกุญแจ ทั้งหมดมีตรา Alcatel ติดอยู่ หลังทานอาหารกลางวันเสร็จ พวกเราก็เตรียมตัวจาก Lannion ไป Paris คราวนี้ วันนา เป็นคนไปส่งเราที่สถานีรถไฟแกงกองก์

บ้านน้อยที่น่ารัก

0 Comments: