Saturday, February 25, 2006

Europe in Memories #6

ออกจาก Brussels เรามุ่งตรงไป Luxembourg พี่เอจเป็นโชเฟอร์ตลอด, พี่อั้นเป็นคนดูแผนที่ทางหลวง, ส่วนฉันช่วยดูป้ายต่างๆ พวกเราต้องทำงานกันเป็นทีม ประเทศแถบยุโรปนี้ ถ้าเราขับรถจากเมืองหนึ่งผ่านเข้าไปอีกเมืองหนึ่ง เราจะไม่รู้เลย ไม่เห็นมีการตั้งด่านตรวจ VISA ฉันต้องสังเกตเอาเองว่านี่เรากำลังอยู่ประเทศไหน โดยอาจจะสังเกตจากภาษาที่เขียนติดตามป้ายบอกทาง แล้วก็เดาเอาเองว่า ตอนนี้น่าจะเข้าอีกประเทศหรือยัง คำทีสังเกตได้ คือคำว่า “ทางออก” ภาษาฝรั่งเศส จะเป็น “Sortie” ส่วนภาษาอื่นๆ ก็แล้วแต่ภาษาของประเทศนั้นๆ ถ้ามองเห็นว่าตัวหนังสือแปลกๆ ไม่เหมือนกับที่เห็นมา ก็เดาเอาว่า น่าจะเข้าอีกประเทศหนึ่งแล้วนะ

Luxembourg , Youth Hotelอยู่ข้างล่างสะพาน

ที่ประเทศ Luxembourg นี้ ตอนแรกที่ฉันจะมา ฉันยังนึกไม่ออกเลยว่าจะมาเที่ยวอะไร ดูๆแล้วไม่น่าจะมีสถานที่ท่องเที่ยว แต่พอมาได้สัมผัสบรรยากาศที่นี่ รู้สึกว่าประเทศนี้เป็นประเทศที่สงบเงียบดี ดูผู้คนเขายิ้มแย้มเป็นมิตรดี เราพัก Youth Hotel ใกล้ๆกับสะพานแห่งหนึ่ง เป็นวิวที่สวยงามเหมือนกัน คืนนั้น เราได้กินอาหารจีนที่แสนอร่อย ขับรถเที่ยวรอบๆเมือง ดูๆแล้วคนในเมืองนี้ก็ค่อนข้างเป็นคนที่มีฐานะ ดูจากตึกรามบ้านช่อง ที่ใหญ่โต ดูหรูหรา ตอนกลางคืนประดับไฟสวยดี พวกเราขับรถรอบเมือง ฟังเพลงของ Kenny G เพลง Jasmine Flower เข้ากับบรรยากาศดีจริงๆ

Luxembourg

Luxembourg สำหรับฉันแล้ว ฉันว่าน่าจะได้สมญานาม “ประเทศแห่งสะพาน” มากกว่า ประเทศฮอลแลนด์ เพราะว่าฉันมองไปทางไหนก็เห็นแต่สะพานเต็มไปหมด วิวสวยมากเมื่อมองจากที่สูง ได้เห็นใบไม้หลากสี (เคยเห็นแต่ใน TV) ฉันว่าถ้ามีเวลา ฉันอยากศึกษาเรื่องราวที่เกี่ยวกับประเทศนี้เพิ่มเติม

บ่ายวันพฤหัส หลังจากเดินเที่ยวรอบๆสถานที่พักแล้ว ก็ได้เวลาต้องเดินทางกันต่อ จุดหมายต่อไปของเราคือเมือง Frankfurt ประเทศเยอรมัน ที่เยอรมันนี้ ฉันได้รับ order จากนงฝากซื้อมีดตราคนคู่ ได้ยินว่ามีชื่อเสียง ฉันก็ตั้งใจว่า จะซื้อมีดไปฝากแม่ซะหน่อย พยายามคิดว่า จะซื้อของที่โดดเด่นของแต่ละเมืองกลับไป อ้อได้ยินมาอีกอย่างว่า ที่ตัดเล็บตราคนคู่นี่ก็มีชื่อเสียงเหมือนกัน ฉันคิดอยู่ว่าจะซื้อเหมือนกัน


Frankfurt

เช้าวันศุกร์ เราอยู่ที่เมืองนี้ ส่วนใหญ่แล้วจะเดินเที่ยวรอบๆเมือง ไม่มีสถานที่ที่ให้ไป เราก็ถ่ายรูปกันไปเรื่อยๆ พอฉันเจอร้านขายของยี่ห้อตราคนคู่ ก็ตรงรี่เข้าไปทันที สืบถามราคามีดที่ต้องการ ในใจก็คิดว่าจะซื้อดีหรือเปล่านะ เดี๋ยวนงบอกว่าแพงไป แต่คิดไปคิดมาก็ตกลงใจซื้อมา ตอนหลังมาคำนวณเป็นเงินไทย ก็แพงเหมือนกัน ส่วนที่ตัดเล็บที่ฉันตั้งใจตอนแรกว่า จะซื้อสัก 10 อันไว้ไปฝากคนอื่นๆ พอเห็นราคาแล้วปรากฎว่า ตกราคาอันละประมาณ 500 บาท ก็เลยคิดว่ากลับไปใช้ของเมืองไทยอันละ 10 บาทก็แล้วกัน

ช่วงหลังที่ฉันไปเที่ยวนี่ ฉันจะพยายามหาซื้อของที่ระลึกของแต่ละประเทศ คือพยายามซื้อของที่เป็นสัญลักษณ์ของแต่ละประเทศ คิดไปคิดมาว่าควรซื้ออะไรดี ที่เป็นของ Souvenir ราคาไม่แพงนัก มองไปมองมา ก็เห็นว่าควรซื้อ postcard กับ stamp เก็บไว้น่าจะดี เวลาไปที่เมืองไหน ฉันเลยต้องพยายามดั้งด้นหา postcard (ซึ่งก็หาไม่ยากนัก เพราะเขามีบริการนักท่องเที่ยวเยอะไปหมด) แต่จะหาซื้อ stamp ก็ต้องไปซื้อที่ post office ซึ่งก็นับว่าฉันคิดไม่ผิดเลย เพราะ postcard นี้เราสามารถหยิบออกมาดูได้บ่อยๆ เหมาะกับคนที่ถ่ายรูปไม่เป็น แต่อยากได้รูปเมือง,วิวสวยๆ ก็ควรซื้อเอาไว้เสียดายอย่างหนึ่ง คือฉันไม่ได้ซื้อ postcard ตั้งแต่อยู่ที่ฝรั่งเศส แต่ไม่เป็นไรหรอก ทุกสิ่งทุกอย่างยังอยู่ในความทรงจำของฉันเสมอ

ออกจาก Frankfurt จุดหมายของเราต่อไปคือเมือง Koln อ้อ ระหว่างทางจากเมือง Frankfurt ไปเมือง Koln นี้จะมีเส้นทางที่เลียบผ่านแม่น้ำไรน์ เป็นภาพบรรยากาศที่สวยงามมาก ด้านซ้ายเป็นแม่น้ำไรน์ ทางขวาจะเป็นภูเขา มีถนนเลียบตลอดทาง อีกฝั่งของแม่น้ำไรน์จะเป็นภูเขาเหมือนกัน แต่มีต้นไม้ใบไม้หลากสีเต็มไปหมด เราขับรถเลียบแม่น้ำไปเรื่อยๆ เราไม่ต้องเปิดแอร์ เปิดแค่หน้าต่างก็รู้สึกเย็นสบาย ลมอ่อนๆ แถมยังฟังเพลง Forever in Love ของ Kenny G ยิ่งให้บรรยากาศที่สุดแสนโรแมนติคจริงๆ

เมือง Koln นี้เป็นเมืองที่มีชื่อเสียงเกี่ยวกับ โคโลญน์ ก็ 4711 ไง เอาล่ะ ตรงกับจุดประสงค์ของเรา “ที่เมืองไหน มีของเด่นอะไร เราจะซื้อเอาไว้” พวกเรามาถึง Koln ก็เย็นมากแล้ว หลังจากจัดแจงหาที่พัก และอาหารเย็นเรียบร้อย ก็ได้เวลาตระเวนรอบเมือง ที่เมืองนี้นอกจากจะมีโคโลญน์ ที่ลือชื่อ สัญลักษณ์อย่างหนึ่งที่โดดเด่นมากคือ โบสถ์แห่งหนึ่งชื่อ Koln Cathedral มีความสูง 156 เมตร เป็นโบสถ์ที่ใหญ่โตมโหฬารจริงๆ ดูใหญ่และน่ากลัว ยิ่งถ้ามองในตอนกลางคืนด้วยแล้ว เหมือนโบสถ์ผีสิงในทีวี ตอนกลางคืน เจ้าหน้าที่จะเปิดไฟ สีเขียวๆ ไม่รู้สิดูยังไงก็ดูน่ากลัวจริงๆ พวกเราได้ไปเดินสถานที่คล้ายๆตลาดนัด มีของขายแบบแบกะดินเยอะไปหมด ดูคนที่มาขายเหมือนพวกยิปซี ของที่มาขายก็คล้ายๆกับของที่จตุจักร


Koln Cathedral

เช้าวันเสาร์ เราขับรถไปอีกฟากหนึ่งของเมือง ดูจากแผนที่แล้วเหมือนกับว่ามีสถานที่ที่สามารถเที่ยวได้ แต่ไปถึงดูร้างๆชอบกล พวกเราเลยได้แต่ถ่ายรูป ได้ลงไปสัมผัสแม่น้ำไรน์ (แบบแตะๆ ให้พอรู้ว่าได้มาถึงเยอรมันแล้ว)

หลังจากนั้นเราก็ขับรถกลับเข้าเมือง ว่าจะไปซื้อโคโลญน์กัน พวกเรามัวแต่เดินเที่ยว สืบราคาไปเรื่อยๆ (ตามนิสัยเดิม) จนประมาณบ่าย 2 ก็คิดว่าควรจะซื้อแล้วละ ปรากฏว่า เราเริ่มสังเกตว่าร้านค้าเขาเริ่มปิดกันแล้ว เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้น สอบถามคนแถวนั้นถึงได้รู้ว่า วันเสาร์เขาจะปิดร้านกันบ่าย 2 พวกเราจะขอเข้าไปซื้อโคโลญน์ ร้านต่างๆก็บอกว่าเขาปิดร้านแล้ว พวกเราได้แต่หมดหวัง ไม่รู้มาก่อนว่าเขาปิดร้านกันเร็วขนาดนี้ มัวแต่สืบราคากันอยู่นั่นเอง แต่บังเอิญเราไปเจอร้านขายยาอยู่ร้านหนึ่ง ที่ขายโคโลญน์ด้วย เราเลยได้ซื้อจากที่นี่ แปลกดี ซื้อโคโลญน์จากร้านขายยา

อาหารที่มีชื่อของเยอรมันอย่างหนึ่งก็คือ ไส้กรอกเยอรมัน อันที่จริงแล้ว ฉันเป็นคนที่ไม่ชอบกินไส้กรอก แต่ไหนแต่ไรมา แต่คิดว่า เอาน่า ไหนไหนมาเยอรมันแล้ว ก็ลองไส้กรอกซะหน่อย ไส้กรอกเยอรมันมีรสชาดอร่อยเหมือนกัน ไม่เหมือนไส้กรอกที่เคยกินมา เห็นพี่อั้นกินเบียร์ด้วย ก็ไหนๆมาเยอรมัน ถิ่นอันมีชื่อเรื่องเบียร์กับไส้กรอกแล้วนี่นา


Amsterdam

ออกจาก Koln โปรแกรมทัวร์ของเราใกล้จะสิ้นสุดแล้ว สถานที่สุดท้ายของเราคือกลับไปที่ Amsterdam คืนนี้จะเป็นคืนสุดท้ายของพวกเรา เราเที่ยวมองหา Youth Hotel แต่ไม่รู้เหมือนกันว่า ทำไมเราหาไม่เจอ สุดท้ายคืนนั้นเราไปนอนที่สถานที่พักแรมชื่อ The Flying Pig คล้ายๆ Youth Hotel แต่ไม่มีอาหารเช้าให้ อาหารค่ำของคืนนั้น ฉันจำได้ดี เราไปกินอาหารไทยที่ร้านของคนไทยชื่อ Thai Orchids ดีใจจังได้เจอคนไทย กินอาหารไทย อ้อ ได้อ่านหนังสือพิมพ์ไทยรัฐด้วย

ฉันกินอาหารไทย ก็เลยคิดถึงเมืองไทยขึ้นมาทันที แต่อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ได้กลับเมืองไทยแล้ว คุยกับเจ้าของร้าน สอบถามเขาถึงสถานที่ที่อยากไป ก็ wind mill กังหันลม มาที่ฮอลแลนด์แล้วต้องมาเห็นกังหันลม กับดอกทิวลิป


Amsterdam เมืองแห่งสะพาน

เช้าวันอาทิตย์ วันนี้จะได้กลับเมืองไทยแล้วซินะ ยังเหลือเวลาอีกประมาณครึ่งวัน เพราะว่าเครื่องบินจะบินออกประมาณ 6 โมงเย็น ช่วงเช้าพวกเราก็เที่ยวในเมือง ถ่ายรูปเก็บไปเรื่อยๆ ใครเหลือฟิล์ม ก็พยายามถ่ายรูปเยอะๆ

พวกเราไปร้านทำเพชร ไปดูเขาทำเพชร เจ้าของร้านใจดีให้พวกเราเข้าไปดูได้ แต่ไม่มีใครซื้อแฮะ ไปในในร้านที่ขายรองเท้าไม้ สัญลักษณ์อีกอย่างของฮอลแลนด์ มีรองเท้าไม้เต็มไปหมด ขนาดต่างๆกัน หน้าร้านยังมีรองเท้ายักษ์เป็นสัญลักษณ์หน้าร้าน พวกเราไปถ่ายรูปกันรองเท้ามีขนาดใหญ่มาก สามารถนั่งลงไปได้เลย


บ้านกังหันลม

ออกจากตัวเมือง พวกเราตั้งใจจะไป wind mill กัน เป็นสถานที่เหมือนทุ่งนาโล่งๆ มีกังหันลมเต็มไปหมด แต่ไม่มีดอกทิวลิปสักดอก ก็เพราะว่า ดอกทิวลิปจะออกดอกตอนช่วงเดือนเมษายน ดังนั้นเราก็เลยไม่เห็นอะไร แต่ไม่เป็นไร เดินดูกังหันลม อ้อยังมี หมู่บ้านสาธิตการทำเนยแข็งอันลือชื่อ ฉันยังได้ลองกินเนยแข็ง รสชาดแปลกดี เราเก็บรูปกังหันลมเป็นแห่งสุดท้าย ที่นี่บรรยากาศดีจริงๆ วิวสวยมาก อากาศเย็น แต่ไม่ถึงกับหนาวมาก เป็นภาพสุดท้ายที่ฉันประทับใจที่สุด

Wind Mill

Wind Mill

เราออกจากที่แห่งนั้น ก็ประมาณบ่ายแก่ๆ ตรงดิ่งไปยังสนามบิน Schiphol ระหว่างทางมีลูกเห็บตกลงมาด้วย เหมือนกับจะอำลาเรา ไปถึงเราก็จัดแจงคืนรถซะก่อน หลังจากนั้นก็ไปเอากระเป๋าที่พวกเราฝากเอาไว้ตั้งแต่วันแรกคืนมา พวกเราต้องทำงานกันอย่างหนักอีกแล้ว ทำอะไรหรือ ก็ต้องแพคกระเป๋าใหม่และต้องรวมของที่พวกเราซื้อกันมาเพิ่มเติม ใครไปสนามบินตอนนั้น จะเห็นกะเหรี่ยง 5 คน ยุ่งอยู่กับการแพคกระเป๋ากันจ้าละหวั่น

เสร็จจากการจัดแจงสัมภาระ ก็ไป check-in แต่โอ้..อนิจจา พวกเราไป check-in กันช้าไป ที่นั่งสำหรับคนไม่สูบบุหรี่เต็มหมด และพวกเราตั้งนั่งแยกกันด้วย หมายความว่า พวกเราต้องนั่งกับสิงห์อมควันไปตลอด 11 ชม. ฝันร้ายจริงๆ

ก่อนขึ้นเครื่อง ยังมีเวลาเหลืออีกหน่อย ฉันต้องไปทำ tax refund ของที่ซื้อมา แต่เป็นเพราะว่าความอ่อนประสบการณ์การใช้บัตรเครดิต คือหลังจากที่ซื้อของด้วยบัตรเครดิต คนขายควรจะให้ใบเสร็จแนบมากับสลิปบัตรเครดิตด้วย ฉันได้เพียงสลิปบัตรเครดิต ก็คิดว่าเป็นใบเสร็จในตัว ทีนี้เวลาทำ tax refund จะต้องเอาใบเสร็จไปทำ ดังนั้นวันนั้น ฉันเลยไม่ได้ทำ tax refund แต่สามารถใช้วิธีส่งไปรษณีย์กลับไปหาเจ้าของร้านได้ แล้วเขาจะส่งเงินกลับมาให้ในภายหลังแทน เย็นวันนั้น ฉันได้ shopping เป็นครั้งสุดท้าย ฉันซื้อน้ำหอมขวดเล็กๆหลายๆขวด ซื้อมา 2 ชุดคือ Christian Dior กับ Givenchy

อยู่บนเครื่องบิน เครื่องบินกำลัง run way ขึ้น ฉันมองออกไปนอกหน้าต่าง ลาก่อน Amsterdam, ลาก่อน ยุโรป ความสนุก, ความสุข ความประทับใจ ช่างเป็นเหมือนความฝันจริงๆ ฉันคงไม่มีวันลืม ถ้ามีโอกาส ฉันจะกลับมาอีก มองกลับมาที่จอหนัง กำลังฉายเรื่อง Speed ดีจริงๆ ฉันยังไม่ได้ดูซะด้วย

ถึงกรุงเทพฯ วันที่ 24 ตุลาคม ต้องไขนาฬิกาปรับเวลากัน (เหมือนเวลา หายไป 6 ชม.) ฉันลงจากเครื่องบิน ด้วยอาการมึน (ควันบุหรี่) เล็กน้อย กลับถึงกรุงเทพฯแล้ว พรุ่งนี้ ชีวิตของฉันจะเป็นยังไงต่อไปนะ

บันทึกวันที่ 15 เมษายน 2541

0 Comments: