Sunday, November 27, 2005

ปาย #3

ตื่นแต่เช้า ตี 4 คุณไกด์เคาะประตูปลุกทุกห้อง อาบน้ำเสร็จ ดูเหมือนห้องเอ๋ยังไม่มีใครตื่นแน่เลยอ่ะ ก็ยังได้ยินเสียงกรนตาเซี้ยอยู่เลย ออกเดินทาง นั่งรถ 2 แถว พวกเรานั่งอยู่ข้างหลังทั้งหมด คุณต๋อยบอกว่า ไปนั่งข้างหน้าบ้างก็ได้นะ แต่พวกเรา รักกัน ไม่ยอมแยกจากกันเด็ดขาด นั่งกันเยอะๆ อุ่นดี จุดหมายของเราคือ ปางอุ๋ง และ บ้านรวมไทย

รถวิ่งขึ้นเขา เลี้ยวไปเลี้ยวมาอีกล่ะ มืดก็มืด หนาวขาอ่ะ ลมมาจากไหนเนี่ยทำไมหนาวขาจัง สั่นไปหมด นั่งประมาณ 1 ชั่วโมงก็ถึง ปางอุ๋ง ที่นี่จะเป็นอ่างเก็บน้ำ น้ำใสเหมือนกระจก มีหมอกหรือไอน้ำลอยขึ้นมาจากน้ำ สวยงามมากจริงๆ จนได้รับการขนานนามว่า สวิตเซอร์แลนด์ เมืองไทย พวกเราก็ถ่ายรูปซะ ไม่หนาวเท่าไร (หนาวตอนนั่งรถมากกว่า)


ปางอุ๋ง

ปางอุ๋ง

ฉันมองเห็นที่พักหลายๆหลัง trip ที่พวกเราเลือกมา ไม่ได้พักที่นี่ แต่ถ้าเป็นอีก trip จะได้นอนที่นี่ (แต่เที่ยวน้อยกว่า) พวกเรากินข้าวเช้าที่นี่ เป็นข้าวกล่อง หมูผัดพริกกะไข่ต้ม นั่งกินกันที่แพ แต่ดูเหมือน แพจะรับน้ำหนักพวกเราไม่ไหว นั่งๆอยู่ดูเหมือนแพทำท่าจะจมอ่ะ บางคนไม่อยากเสี่ยง ขึ้นจากแพไปหลายคนเสร็จจากข้าวเช้า คุณไกด์ก็ให้เตรียมตัวเดีนทางต่อไปบ้านรักไทย บอกว่าจะไปลองชิมชากัน บ้านรักไทยเนี่ยเป็นชุมชนของชาวจีนฮ่อ จากที่นี่มองไกลๆไปจะเห็นประเทศพม่า
บ้านรักไทย

ไปถึงคุณต๋อยก็พาไปร้านน้ำชา ดูเหมือนร้านนี้จะใหญ่สุด แล้วก็พวกทัวร์ต่างๆมักจะพามาร้านนี้ เข้าไปนั่งที่โต๊ะ มีเครื่องเคียงวางอยู่ก่อน ลองหยิบ ลูกชิดอบแห้งมาชิม เจ้าของร้านนำน้ำชามาให้ชิมตั้งหลายอย่าง ทั้งชารสโสม, รสมะลิ, รสกุหลาบ ไปจนถึง ชาอู่หลงที่ขึ้นชื่อว่าสุดยอดของชาทั้งปวง เขาจะเสริฟมาในชุดถ้วยชาแบบที่เป็นถ้วยปรกติคว่ำด้วยถ้วยทรงสูงอีกใบ วิธีการกินก็คือ ดึงถ้วยทรงสูงออกมา น้ำชาก็ไหลมาที่ถ้วยปรกติจนหมด แล้วให้เราดมเจ้าถ้วยชาทรงสูง แบบนี้จะได้กลิ่นของชา ถ้าหนาวก็เอามือถูเจ้าถ้วยชาทรงสูง อือม พึ่งรู้วิธีการกินชาแบบชาวจีนฮ่อ
บ้านรักไทย

ฉันชิมชาทุกรส ยกเว้น ชามะลิ เพราะกินบ่อยแล้ว กินแล้วก็ตัดสินใจว่าจะซื้อไปฝากพ่อกะแม่ซักกะหน่อย ดูๆไว้ 2 อย่าง ชาโสม (250 บาท) กับ ชาอู่หลง มีหลายราคา แพงสุดก็ 450 บาท เป็นแบบ เก็บก่อนน้ำค้าง อะไรทำนองเนี่ย ฉันซื้อ 2 อย่าง ต่อราคาได้นิดหน่อย เจ้าของลดราคาให้ 2 อย่างเหลือ 650 กะแถมชุดชาให้ 1 ชุด เสร็จจากดื่มชา กิจกรรมต่อมาไม่ต้องพูดถึง ถ่ายรูปอีกละ ของแน่อยู่แล้ว ได้ถ่ายกะเด็กชาวจีนฮ่อ แต่ไม่มีใครใส่ชุดชาวดอยสักคน

เจอหมาชาวดอยอยู่ตัวนึง หน้าตามันตลกดีอ่ะ เสียดายที่ถ่ายรูปมันไม่ทัน สงกะสัยมันจะขี้อาย พอเราเดินไปใกล้ มันเดินหนีเข้าบ้านไปเฉยเลย เดินตามมันยังไง มันก็ไม่สน ไม่เห็นจะเหมือนหมากรุงเทพเลยแฮะ เจอคนแปลกหน้า เห่ายังกะอะไรดี เจ้าหมาชาวดอย
เนี่ย มันจะเฝ้าอะไรได้เปล่าเนี่ย

ขึ้นรถต่อ เตรียมจะไปพอกโคลนล่ะ จะไปภูโคลน คันทรี คลับ เห็นว่า เป็น Unseen อีกอย่างละ เห็นว่า ภูโคลนเนี่ย ในโลกมีแหล่งโคลนแบบนี้เพียง 3 แห่ง คือที่นี่, ฝรั่งเศส และ โรมาเนีย ฉันกำลังจะไปพอกโคลนที่ 1 ใน 3 แหล่งของโลกเชียวนา ไปถึง เขาจะมีบ่อโคลนให้น่องท่องเที่ยวดู ลองดมกลิ่นโคลน อือม.. ก็กลิ่นโคลนจริงๆนะแหละ คุณไกด์บอก ใครต้องการหมักโคลนก็เชิญเลย แต่มีเวลาประมาณ 1 ชม. พอกหน้าอย่างเดียวก็พอ กำลังเตรียมจะไปอยู่แล้ว มีเจ้าหน้าที่อีกคน มาอธิบายเรื่องโคลน แต่พวกเรากระซิบกระซาบกันว่า ไม่ฟังดีกว่า รีบไปพอกหน้ากันเลย เดี๋ยวคนเยอะ

ค่าบริการคนละ 60 บาท เจ้าหน้าที่ให้หมวกคลุมผมกับผ้าเช็ดหน้ามาให้คนละชุด ขั้นแรกต้องล้างหน้าก่อน เสร็จแล้ว เจ้าหน้าที่ก็เอาโคลนมาพอกให้ ใช้เวลาแป๊บเดียว ก็ให้ไปนั่งรอข้างนอก รอให้โคลนเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาล แล้วเจ้าหน้าที่จะมาเรียกให้ไปล้างออก กลุ่มของพวกเรา รู้สึกจะพอกเกือบทุกคน ยกเว้นคุณนพพร งานนี้มีหลักฐาน ใบหน้าแต่ละคนที่ถูกพอกด้วยโคลน

รอ รอ รอ กว่าโคลนจะเป็นสีเทา แต่ละคนใช้เวลาไม่เท่ากัน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะไร ระหว่างรอ จะมีชายกลางคน จะเดินมาดูแต่ละคน แล้วก็อธิบายสรรพคุณของโคลน สงสัยจะเป็นเจ้าของสถานที่นี้ พร้อมกับถือกระจกมาหนึ่งอัน เดินไปที่ลูกค้า ให้ลูกค้าดูใบหน้าของตน พร้อมกับอธิบายต่างๆนาๆ ว่า เห็นมั๊ย โคลนเนี่ยทำการดูดซับสิ่งสกปรกต่างๆบริเวณตรงนี้ ตรงนั้น ไรทำนองเนี้ยแต่พอเดินมาที่ฉัน แล้วก็ชี้มาที่หน้าฉันบริเวณข้างๆจมูก ใต้ตา ให้ฉันดูในกระจก

เจ้าของร้าน : นี่ไงคุณ สังเกตุดูซิ บริเวณแถวเนี่ย มีการดูดซับของโคลน เนี่ยแสดงว่า ผิวหยาบนะ
ฉัน :

โห พูดจาทำร้ายจิตใจกันจังเลย ปรกติ ถึงแม้ฉันจะไม่เคยพอกหน้า แต่ก็เคยนวดหน้า ทำความสะอาด ทาครีม ทากันแดด นะยะ จะบอกให้ พอได้เวลา เจ้าหน้าที่ให้ไปล้างออก แล้วฉีดน้ำแร่ให้ รู้สึกสดชื่นดี จับหน้าดูก็รู้สึกว่าเย็นๆดี เดินไปดูร้านขายของที่อยู่ใกล้ๆกัน

มีผลิตภัณฑ์ตั้งหลายอย่าง ทั้งโคลน สบู่โคลน น้ำแร่ โลชั่น ฯลฯ ฉันซื้อโคลนกระปุกเล็ก ราคา 350 บาท ว่าจะลองเอากลับไปใช้ที่กรุงเทพซักกะหน่อย หลังจากเสริมความงามเสร็จแล้ว คุณต๋อยก็พาไปกินข้าวกลางวัน เอ๋คงอยากกินไก่ เดินข้ามถนนไปซื้อไก่ย่าง ไก่ทอดมากิน คุณต๋อยบอกว่าใครอยากกินกาแฟ ร้านนี้มีขายด้วย ถ้วยละ 10 บาท (โธ่ นึกว่ารวมในทัวร์แล้วซะอีก)

กินข้าวเสร็จก็ออกเดินทางต่อ สถานที่ต่อไปคือ ถ้ำลอดปางมะผ้า เป็นถ้ำขนาดใหญ่ จะมีหินงอกหินย้อยรูปร่างต่างๆอยู่ภายใน และก็มีสายน้ำไหลผ่าน โดยจะมีแพให้ล่องชมได้ และก็ ถ้ำผีแมน เป็น Unseen อีกแห่ง ตรงทางเดินเข้าก่อนที่จะลงแพ มีขายอาหารปลาเป็นเม็ดๆ ถุงละ 10 บาท คนขายบอกไว้เลี้ยงปลาตอนลงแพ ไปถึง เจ้าหน้าที่เขาจะเตรียมให้ลงแพ เป็นแพไม้ไผ่ 1 หลัง นั่งได้ 4 คน ตาล, นพพร, พี่ตุ่ม, พี่แหม่ม นั่งด้วยกัน ฉัน เอ๋ เค็ง เซี้ย ก็นั่งอีกแพหนึ่ง (แต่รู้สึกว่าแพมันยวบๆ ยังไงก็ไม่รู้)
ถ้ำลอดปางมะผ้า
โชคไม่ดีเลยอ่ะ แพที่เรานั่ง ดันไม่มีตะเกียง ไฟฉายก็ถ่านหมด ลอดถ้ำเข้าไปก็มองอะไรไม่เห็น ไอ้ที่จะให้อาหารปลา ก็มองปลาไม่เห็นอ่ะ โรยๆ ไป เดี๋ยวมันคงมากินเอง

เข้าไปข้างใน เจ้าหน้าที่จะให้แวะถ้ำประมาณ 2-3 ถ้ำ ข้างในก็จะมีหินรูปร่างแปลกๆ อันนี้บางครั้งก็แล้วแต่จินตนาการ พอเจ้าหน้าที่บอกว่าเหมือน อะไรสักอย่าง พวกเราก็... อือม เออ เหมือนเนอะ ปีนขึ้นไป บางถ้ำต้องปีนสูงเหมือนกัน บางคนก็ไม่ขึ้นไป แต่ไหนๆเราก็มาแล้ว ก็อยากขึ้นไปอ่ะ ไปหมดทุกที่ที่เขาให้ไป
ถ้ำผีแมน

ถ้ำสุดท้าย ถ้ำผีแมน อันนี้เคยเห็นในรูปของหนังสือ Unseen เป็นโลงศพของผีแมน (ผีผู้ชาย 5555) จริงๆแล้วเป็นถ้ำที่มนุษย์ในสมัยเมื่อประมาณหนึ่งพันปีที่แล้ว นำโลงศพที่ทำด้วยท่อนไม้ขนาดใหญ่ขุดตรงกลางออก แล้วนำศพของผู้เสียชีวิตเข้าไปไว้ จากนั้นนำโลงศพนี้ขึ้นไปไว้ในถ้ำ แต่พอเห็นของจริงแล้ว เหมือนเขาไม่ได้อนุรักษ์มั้ง ดูมันโทรมๆ ยังไงก็ไม่รู้

เสร็จจากเที่ยวน้ำลอด ทริปต่อไปของเราคือ วัดน้ำฮู วัดน้ำฮู นี่เป็นสถานที่ประดิษฐานของเจ้าพ่ออุ่นเมือง พระพุทธรูปศักดิ์สิทธิ์ที่พระเศียรส่วนบนสามารถเปิดได้และมีน้ำขังอยู่ ซึ่งน้ำในพระเศียรนี้จะซึมออกมาตลอดเวลา โดยทุก 10 วัน จะมีการเปิดพระเศียรและตักน้ำมาผสมกับน้ำสะอาดเก็บไว้ สำหรับประชาชนทั่วไปที่เข้ามานมัสการ
หลวงพ่ออุ่นเมือง

ไปถึง หลังจากกราบหลวงพ่ออุ่นเมือง เจ้าหน้าที่ก็เปิด vcd บันทึกตอนที่มีการตักน้ำจากพระเศียรออกมา ให้ดูกัน และก็จะมีน้ำมนต์หากใครต้องการ กรุ๊ปพวกเราดูเหมือนจะตักน้ำมนต์กันทุกคน นอกจากนี้ ในบริเวณวัดน้ำฮู ยังมีพระเจดีย์อนุสรณ์ พระนางสุพรรณกัลยา พระเชษฐภคินีของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช อีกด้วย เชื่อกันว่าพระเจดีย์แห่งนี้ สร้างโดยพระนเรศวรมหาราช เพื่อบรรจุพระอัฐิของสมเด็จพระพี่นางสุพรรณกัลยา พวกเราก็ได้ถ่ายรูปบริเวณเจดีย์ตรงนี้ด้วย

ออกจากวัดน้ำฮู คุณไกด์ก็พาพวกเราไปเดินเล่นที่ตัวเมืองปาย เมืองนี้น่ารักจริงๆ ดูสงบ เห็นว่า ร้านค้าต่างๆ สัก 6 โมงเย็นก็เริ่มปิดแล้ว ร้านค้าต่างๆจะตกแต่ง น่ารักดี ไว้รองรับนักท่องเที่ยวเลยนะเนี่ย

All About Coffee

ร้านแรกที่ตาลพูดถึง ก็ร้านกาแฟสด ได้ยินว่า มีอยู่ร้านเดียวเลยในละแวกเนี้ย ชื่อร้าน “All About Coffee” (อิอิ คล้าย All About Eve เอ เกี่ยวกันหรือเปล่าเนี่ย) พวกเราก็เข้าไปสั่งโน้นสั่งนี่กันใหญ่ ปรากฏว่า น้ำแข็งหมด พวกเรามากันตั้งหลายคน เขาไม่สนใจเลยอ่ะ แถมบอกอีกว่า ไม่เป็นไร เพราะร้านกำลังจะปิดแล้ว ไม่เอาใจลูกค้าเลยอ่ะ หลายคนคงอยากกินกาแฟสด อุตส่าห์ไปหาซื้อน้ำแข็งมาได้ สุดท้ายก็ได้กินกาแฟสมใจอยาก แต่... ก็งั้นๆแหละ ไม่เห็นอร่อยเลย สู้ร้านพี่โม่งก็ไม่ได้อ่ะ แพงก็แพงด้วย สั่งคาปู 1 แก้ว 45 บาท รสชาดธรรมดามากเลยอ่ะ

ร้านขายโปสการ์ด

ตรงข้ามร้านกาแฟ มีร้านขายของที่ระลึก, postcard พวกเราใช้เวลาแถวๆนี้นานพอควร อาศัยเป็นฉากหลังของการถ่ายรูปไปซะเยอะเลย ฉันเองถ่ายรูปร้าน Sabai-Dee Gallery ไปซะเยอะเลย ดีน่ะที่เขาให้ถ่ายรูป ตอนแรกว่าจะซื้อ postcard ซะหน่อย แต่ใบละ 15 บาท แพงเหมือนกันอ่ะ แล้วรูปก็ไม่โดนใจด้วย คือ postcard จะเป็นแบบ เจ้าของถ่ายรูปเอง อัดเอง คือฉันดูๆหมดแล้ว มันไม่โดนจริงๆ ก็เลยไม่ซื้อดีกว่า สุดท้ายซื้อเข็มกลัดหนึ่งอัน เป็นที่ระลึกจากปาย

ซื้อไปซื้อมา เงินหมด วันนี้ใช้เงินไปเยอะ ทำไงดี สอบถามไกด์ว่ามี ATM อ่ะเปล่า คงต้องกดเงินมาใช้แล้วล่ะ ไม่เป็นไรหรอก เงินทองไหลเวียนในประเทศ

และแล้วก็ได้เวลาเข้าที่พัก คืนนี้พวกเราจะไปพักที่ ท่าปายสปาแค้มปปิ้ง ที่นี่มีน้ำแร่ให้แช่ด้วย อิอิ ดีจริง วันนี้จะได้เสริมสวยทั้งวัน ไปถึง เห็นบ่อน้ำแร่ที่พวกเราจะแช่แล้ว อยู่ติดกับที่พักเลย ดีจริงๆ พวกเรากะว่ากินข้าวก่อนดีกว่า จะได้แช่กันให้นานๆไปเลย อาหารเย็นวันนี้ กินกันเปรมไปเลย สั่งเพิ่มอีกตั้งเยอะ เหมือนสั่งประชดทัวร์ไงก็ไม่รู้ แถมกินเบียร์อีก 1 แก้ว

กินข้าวเสร็จ ได้เวลาแช่น้ำแร่ ขากลับจากกินข้าว พอดีเห็นคุณแม่ (เป็นคุณแม่ของเจ้าของทัวร์ ที่มากับอีกกรุ๊ปหนึ่ง) ใช้ผ้าขนหนูของโรงแรมพันแบบกระโจมอก แล้วนั่งแช่อยู่ เอ.. เราเอาไงดี เอาแบบคุณแม่ก็ดี เสื้อผ้าของเราจะได้ไม่เปียก อีกอย่าง บ่อแช่น้ำร้อนก็ใกล้กับห้องพักแค่นี้เอง

ปรากฏว่า คนอื่นๆเขาใส่เสื้อกะกางเกงกันหมด มีเราคนเดียวที่พันผ้าขนหนู เขินๆ เหมือนกัน คุณไกด์บอกว่า ให้แช่ประมาณ 15 นาที แล้วขึ้นมานั่งอีก 5 นาที แล้วถึงให้ลงไปแช่ใหม่ ไม่งั้นอาจเป็นลมได้ตอนที่ลงไปแช่ครั้งแรก โอ้โฮ น้ำร้อนจริงๆ แต่พอแช่ไปสักพัก ไม่ค่อยรู้สึกว่าร้อนแล้วล่ะ อุ่นๆดี พอถึง 15 นาที ขึ้นมานั่งตรงขอบสระ เห็นควันออกมาจากตัว เต็มไปหมด มีคนแซว ว่ากำลังโกรธจัดหรือเนี่ยแต่พอกลับลงไปแช่อีกที โอ้โฮ รู้สึกร้อนเหมือนตอนแรกที่ลงเลย พวกเราแช่อยู่นานเหมือนกัน เกือบชั่วโมงได้มั้ง เห็นคุณไกด์มองออกมาจากหน้าต่างๆบ่อยๆ สงสัยจะรอพวกเราขึ้นมาก่อน ถึงจะลงไปแช่บ้างสุดท้าย เหลือ ฉัน , ตาล และก็ เซี้ย อยู่ 3 คน แล้วจู่ๆ ก็มีผู้ชายอีกคนมาขอแช่ด้วย ถามโน้นถามนี่ ฉันก็เลยขึ้นดีกว่า

คืนนี้มีฟุตบอลด้วยตอนประมาณ 4 ทุ่ม เห็นหลายคนว่าจะไปดู คือที่นี่จะมีโทรทัศน์กลางไว้ที่ห้องกินข้าว แต่ละห้องไม่มีโทรทัศน์ ฉันอาบน้ำเสร็จก็เดินไปเหมือนกัน แต่ไม่ได้ดูบอลหรอก ไปกินโรตีที่ซื้อมาตอนอยู่ในเมือง แต่เอาเข้าจริง กินไม่ลงแล้วอ่ะ เจ๊แหม่ม นั่งดูบอลอยู่ ฉันก็เลยหยิบ magazine 2 เล่มกลับห้องพักไปนอนดีกว่า นั่งอ่านได้สักพัก หลับดีกว่า เจ๊แหม่มกลับมาอีกทีประมาณเที่ยงคืน

0 Comments: