Monday, November 28, 2005

ปาย #4

ตี 4 คุณต๋อยมาเคาะประตูห้องอีกล่ะ เตรียมตัวเดินทางต่อ ได้ยินเจ็แหม่มบอกว่า เมื่อคืนฝันไม่ค่อยดี แต่เราหลับสบายไม่รู้เรื่อง เช้านี้พวกเราจะไป ห้วยน้ำดัง ไปดูทะเลหมอก เมื่อคืนคุณไกด์บอกให้เตรียมเสื้อกันหนาวมาให้ดีๆ แต่โชคดีหน่อยที่เช้านี้ไม่ต้องนั่งรถ 2 แถว

ห้วยน้ำดัง
ไปถึงยังมืดอยู่เลย ถ่ายรูปมาก็มองไรไม่เห็น พอสว่างได้หน่อย ถ่ายรูปกันซะ act ไรได้ก็ act ไป ฉันถ่ายรูป panorama มาได้ 3 รูป ไม่รู้ว่าเอาไปต่อกันแล้วจะเป็นไง (ถ่ายรูป panorama นี่ต้องเล็งให้ดีๆ ท่าจะให้ดีต้องใช้ขาตั้งกล้อง จะเยี่ยมไปเลย) รอพระอาทิตย์ขึ้น ก็จะได้รูปอีกแบบ ทะเลหมอกเนี่ย ฉันเห็นเป็นครั้งที่ 2 แล้ว ครั้งแรกเห็นที่ภูชี้ฟ้า เมื่อ 5 ปีก่อน แต่ครั้งนั้นไปดูตอนเย็น ครั้งนี้เป็นตอนเช้า
ไม่ค่อยหนาวเลยอ่ะ ที่นี่ถ้าเล็งวิวดีๆ ถ่ายรูปมาจะเหมือนอยู่เมืองนอกเลย อิอิพวกเรามาตั้งแต่คนเยอะ จนพระอาทิตย์ขึ้นสว่าง คนน้อยแล้ว ก็ยังอยู่กันอีก แต่อย่างว่า นั่งรถมาตั้งไกล ชื่มชมนานๆหน่อยก็ดี นั่นคุณต๋อยมาเรียกอีกล่ะ

เช้านี้กินขนมปังกะกาแฟ พอดีเห็นร้านขายกาแฟสด ชื่อ กาแฟสดห้วยน้ำดัง มีอยู่ร้านเดียว (อีกล่ะ) แก้วละ 30 บาท คนเยอะมาก แต่รสชาด ก็งั้นๆแหละ เฮ้อ น่าแปลก มาเที่ยวเมืองเหนือเนี่ย หากาแฟอร่อยๆกินไม่ได้เลย แพงอีกต่างหาก ทั้งๆที่เป็นแหล่งเพาะปลูกนะเนี่ย เห็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว ไปเอาโบชัวร์แล้วก็ stamp ตรายางดีก่า เห็นนักท่องเที่ยวคนหนึ่ง กำลังถ่ายรูปอยู่ สงสัยน่าจะเป็นคน TRUE อิอิ เห็นจากพวงกุญแจ TRUE

ก่อนขึ้นรถ กินยาแก้เมาก่อนดีกว่า ทัวร์ต่อไปของเราคือ น้ำพุร้อนโป่งเดือด อันนี้ก็เป็น Unseen Thailand - Unseen Natures and Wonders อีกแห่ง ที่มีน้ำร้อนพุ่งขึ้นมาจากพื้นดินสูงประมาณ 1 เมตร เป็นช่วงๆตามแรงดันของผิวดิน โดยน้ำอุณหภูมิประมาณ 100 องศา


น้ำพุร้อนโป่งเดือด

แต่ไงไม่รู้ หรือว่าเราเพิ่งกินอาหารเช้ามา ช่วงขาขึ้นไปดูน้ำพุร้อนเนี่ย ดูเหมือนเริ่มเกิดอาการท้องมวน โอ๊ยรถก็วิ่งซ้ายวิ่งขวา เอาอีกแล้ว ไม่ต้องไป Disney Land ก็ได้ ที่นี่สนุกกว่าเยอะเลย ฟรีด้วย โอ้ยทำไงดี ขนาดกินยาแก้เมามาแล้วนะ หลับตาดีกว่า (ตอนหลังมาได้ยินว่า ทางโค้งนี้แหละ ถือว่าสุดยอดที่สุดของแม่ฮ่องสอนแล้ว) เฮ้อในที่สุดก็ถึงซะที ต้องเดินเข้าไปอีกประมาณ 500 เมตรได้ ที่นี่ สมเด็จพระราชินีของเราก็เคยมาแล้วอีกเหมือนกัน และก็ทรงประทับแรม พักเต๊นท์ที่นี่ด้วย เมื่อประมาณ 8 ปีก่อน (ข้อมูลนี่ก็อ่านจากป้าย อิอิ)แต่ที่นี่ ถ่ายรูปออกมาจะเห็นเป็นขาวๆ เต็มไปด้วยไอของน้ำพุ คุณไกด์บอกว่า ให้ลองตบมือ แล้วน้ำพุจะพุ่งขึ้นสูง พวกเราก็ลองตบมือกัน ตอนแรกก็ต่างคนต่างตบ ตอนหลังก็ร่วมแรงร่วมใจกันตบ อือม ไม่รู้ว่าคิดไปเองหรือเปล่า รู้สึกเหมือนกันว่า มันพุ่งขึ้นสูงกว่าปรกติจริงๆ

ก่อนออกจากที่นี่ เห็นศูนย์บริการนักท่องเที่ยว เราก็เข้าไปเลย ไป stamp ตรายางด้วยดีกว่า (กลับไปคราวนี้ ต้องไปหา passport ให้ได้) เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวกลางวันที่ตัวเมืองเชียงใหม่ชื่อ ครัวเพชรดอยงาม มื้อนี้พวกเราก็สั่งอาหารเพิ่มอีกหลายอย่าง (แน่นอน 1 ในนั้นก็ต้องมีไข่เจียวด้วย) เพราะเหมือนเมื่อเช้าไม่ค่อยได้กินไร ก็เลยรวบ 2 มื้อ ทัวร์ต่อไปของพวกเรา คือ เวียงกุมกาม เป็นนครโบราณใต้พิภพ


เวียงกุมกาม

ไม่น่าเชื่อเลยว่า นครใต้พิภพ มีมาแต่ก่อนเมืองเชียงใหม่ อายุนานกว่า 700 ปี แต่เพิ่งมาขุดพบด้วยความบังเอิญมาเมื่อไม่กี่ปีมาเนี่ยเอง ไปถึงเขาจะให้ดู vcd ประวัติเมืองกุมกาม แล้วก็จะมีมัคคุเทศน์นำชม อธิบายวัดต่างๆโดยรอบ คุณต๋อยไปนั่งรถตู้อีกคันหนึ่ง

ย่อๆก็คือ อาณาจักรล้านนาแห่งนี้สร้างโดยพญาเม็งราย เพื่อเป็นศูนย์กลางของล้านนาราวพุทธศตวรรษที่ 18 มีความเจริญรุ่งเรืองทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง มีความสำคัญ และเป็นเมืองหน้าด่านต่อมา อีกหลายร้อยปี จนกระทั่งยุคเสื่อมของล้านนา เมื่อพม่าเข้ายึดครอง หลังจากนั้นเวียงกุมกามถูกน้ำท่วมใหญ่จนถูกทิ้งให้เป็นเมืองร้างในเวลาต่อมา นั่งรถเที่ยวชมรอบๆ มีให้แวะลงไปชมใกล้ๆเป็นบางช่วง

มัคคุเทศน์เล่าเรื่องแปลกๆหลายอย่าง เช่น เมื่อมีการขุดพบเวียงกุมกามใหม่ๆ มีชาวบ้านคนหนึ่ง ขุดเจอเชี่ยนหมากทองคำ ซึ่งในสมัยก่อน ผู้ที่สามารถมีเชี่ยนหมากทองคำได้ คือเจ้านายชั้นสูงหรือไม่ก็เชื้อพระวงศ์ คนนี้นำไปขายให้กับชาวต่างชาติ ปรากฏว่ากลับมาบ้าน ไม่สามารถพูดได้ แล้วก็สติแตกไปเลย ทุกวันนี้ยังเดินวนเวียนอยู่บริเวณนั้น เหมือนต้องเฝ้าทรัพย์สมบัติ มัคคุเทศน์เล่าอีกหลายเรื่อง สไตล์แบบนี้แหละ ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ …

ใกล้ๆกันนั้นจะมีของที่ระลึกวางขายอยู่ เรียกว่า ถักเมล็ดข้าว เป็นโลหะใหญ่กว่าเหรียญบาทประมาณ 1 เท่า เป็นรูปนักษัตริย์ต่างๆ ล้อบรอบด้วยเมล็ดข้าวเรียงเป็นวงกลม คนขายเป็นยายอายุประมาณ 60 ปี ให้ไปวางบนหัวเตียง หรือหน้ารถ เห็นแต่ละคนซื้อกันมากกว่า 1 อัน ฉันซื้อมาทั้งหมด 5 อัน อันละ 20 บาท ก็ OK นะ บริเวณแถวนั้น มีต้นโพธิ์อยู่หลายต้น แต่เป็นต้นโพธิ์จากศรีลังกา สังเกตุจากปลายใบโพธิ์จะเรียวแหลมเป็นเส้น จะมีไม้ต่างๆมาค้ำยัน เหมือนเป็นการค้ำยันให้ชีวิตเจริญรุ่งเรือง


เจ๊แหม่มได้ใบโพธิ์มาใบหนึ่งจากไกด์ เป็นใบที่หล่นจากต้นแล้ว พวกเราบอกว่า ขอหรือยัง เจ๊แหม่มหลังจากฟังหลายๆเรื่อง ก็เลยกลัวไม่กล้าเอากลับมาด้วย

ออกจากเวียงกุมกาม พวกเราก็มาถึงลำปาง คุณต๋อยให้พวกเราแวะไปซื้อของฝาก เป็นตลาดขนาดใหญ่มีทั้งของกิน ของที่ระลึกจากเมืองเหนือต่างๆ รถจะจอดแวะประมาณ 1 ชม. ฉันซื้อ ข้าวแต๋น (ของขึ้นชื่อของลำปาง), ท้อดอง, ลูกพรุน, กระเทียมโทนดองน้ำผึ้ง (อันนี้ให้ป๊ะป๋า) แล้วก็ใส้อั่ว ประมาณเท่านี้แหละที่ท่องเที่ยวแห่งสุดท้ายที่จะไปคือ วัดพระธาตุลำปางหลวง เป็นพระธาตุประจำของผู้ที่เกิดปีฉลู ไปดู เงาพระธาตุหัวกลับ อันนี้ก็ Unseen อีกเหมือนกัน

วัดพระธาตุลำปางหลวง

ที่จริง ที่นี่ฉันเคยมาแล้ว 2 ครั้งเมื่อปี 2543-2544 ตอนนั้นมาเที่ยวกันเอง คราวนี้คุณไกด์อธิบายประวัติของวัดให้ฟังด้วย แต่คุณเธอเล่าเร็วมาก ไอ้เราก็ถ่ายรูปอยู่ ฟังมั่งไม่ได้ฟังมั่ง ปะติปะต่อไม่ค่อยติด รู้แต่ว่าเดี๋ยวจะเข้าไปดูรอยกระสุนปืน ไรทำนองเนี้ย
วัดพระธาตุลำปางหลวง

เข้าไปข้างใน ตรงซุ้มพระบาท เป็นที่ประดิษฐาน รอยพระบาทของพระพุทธเจ้า ที่ที่จะได้เห็นเงาพระธาตุหัวกลับ แต่จะให้เฉพาะผู้ชายเข้าได้เท่านั้น ฉันก็รู้ๆอยู่ มาตั้ง 2 ครั้งก็ได้แต่อยู่ข้างนอกเนี่ยแหละ แต่ภายในวัดมี วิหารพระพุทธ ก็มีเงาของพระธาตุหัวกลับให้ดู แต่ก็ไม่ชัดเหมือนของจริงอ่ะ

ก็จะเห็นเป็นเงาของพระธาตุกลับหัว เวลาแสงส่องลงมา ถ่ายรูปออกมา ไม่ชัดเท่าไร (ใช้ mode nightshot จะมองอะไรไม่เห็นเลย ) ออกมานั่งรอพวกผู้ชายเข้าไปดูเงาพระธาตุ นมัสการพระธาตุเสร็จ นั่งดูรอยกระสุนปืน ของหนานทิพย์ช้างผู้ยิงท้าวมหายศ แม่ทัพของพม่าตาย

คุณไกด์ช่วยให้ข้อมูลเพิ่มเติม ว่าพระธาตุประจำปีของแต่ละนักษัตริย์ อยู่ที่วัดใด จังหวัดใด ของเราเนี่ยไม่ได้อยู่บนโลกนะ อยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ แล้วจะไปนมัสการยังไงเนี่ย แต่ไม่เป็นไร สามารถไปนมัสการได้อีกที่หนึ่งคือที่วัด อยู่ที่เชียงใหม่ บริเวณแถวนั้นจะมีของให้ประชาชนลองเสี่ยงทายอยู่ 2 อย่างคือ ไม้ยาวประมาณ เมตรกว่าๆ ให้เรากางแขนออกให้กว้างที่สุด แล้วมาร์คไว้โดยใช้หนังยาง ให้รู้ว่าความกว้างของแขนทั้ง 2 ข้างเท่าไร เสร็จแล้วลองอธิษฐาน แล้วให้วัดอีกครั้ง ซึ่งคุณไกด์บอกว่า หากคำอธิษฐานไม่สำเร็จละก็ วัดครั้งที่ 2 จะไม่เท่ากับครั้งแรก คือจะสั้นหรือยาวกว่า อันนี้คุ้นๆ จำได้ตั้งแต่คราวก่อน

ส่วนอีกอย่างที่ให้ลองเสี่ยงทาย จะเป็นการยกช้างคชสาร (ถ้าผิดก็ขออภัย) คือรอบแรกให้อธิษฐานแล้วยกด้วยนิ้วก้อย แล้วรอบสองให้อธิษฐานเหมือนเดิมอีกแล้วยกอีกครั้ง ถ้าครั้งแรกยกได้ ครั้งสองยกไม่ได้ คำอธิษฐานจะเป็นจริง ฉันไม่ได้อธิษฐานอะไรเลย เฉยๆ ไม่ได้ลองด้วย (อิอิ จริงๆแล้วกลัวว่าอธิษฐานแล้วจะไม่ได้ จะเสียกำลังใจหมด)

คุณต๋อยพอไปนมัสการ พระเจ้าแก้วมรกต อยู่ใกล้ๆกัน แต่เดินออกมาหน่อย คือเวลายังเหลืออยู่ ให้คนขับได้พักก่อน สำหรับพระเจ้าแก้วมรกต แม้จะมา 2 ครั้งแล้ว ก็ยังไม่เคยไปนมัสการ ไม่รู้ด้วยอ่ะ เป็นพระพุทธรูปหน้าตักกว้าง 6 นิ้วครึ่ง เป็นศิลปเชียงแสน ปางสมาธิ มีอายุกว่า 1500 ปีแน่ะแต่ไม่ได้ดูใกล้ๆหรอก มีประตูซี่กรงเหล็กกั้นตั้ง 2 ชั้น พวกเราใช้เวลานิดเดียว คุณต๋อยบอกว่า คนขับพร้อมแล้ว

พวกเราเดินข้ามฝั่งไปรอรถตู้ตรงข้ามวัด มีของที่ระลึกขาย ฉันซื้อซองใส่มือถือ ทำจากกะลา ราคา 80 บาท แต่สวยนะ ซื้อเหมือนตาลอีกละ ฉันกับตาลมีของเหมือนกัน 3 อย่างแล้วนะเนี่ย

คณะดนตรีเด็กๆ

ตรงนี้จะมีคณะดนตรีเด็กๆ อายุตั้งแต่ 1 ขวบจนถึง 7-8 ขวบ มีทั้งสีซอ, กลอง , ฉิ่งฉาบ แล้วก็เครื่องดนตรีคล้ายกีตาร์ ไม่รู้เรียกว่าอะไร คุณต๋อยเล่าให้ฟังว่า เคยมาดูอยู่ครั้งหนึ่ง พอมีฝรั่งหรือนักท่องเที่ยวเข้ามาดู พวกเด็กๆจะเล่นดนตรีกันใหญ่ พอฝรั่งหันหลังคล้อยไปนิด ทั้งหมดก็หยุดเล่นเฉยเลย ขำดี

สุดท้ายแวะกินข้าวที่ร้านอาหารในจังหวัดลำปาง แต่คราวนี้พวกเราสั่งของเพิ่มแค่ 2 อย่าง อาหารเหลือด้วย สงสัยแต่ละคนยังอิ่มจากมื้อกลางวันกันอยู่เลย นั่งกินกันอยู่ ปรากฏว่า ไฟดับเสียนี่ พนักงานนำเทียนมาให้ พวกเราก็นั่งกินไปภายใต้บรรยากาศโรแมนติก
(หรือเปล่า ) ปรากฏว่า มีคนบอกให้เจ๊แหม่มเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟัง ท่ามกลางบรรยากาศแบบเนี้ยแหละ (เอ๊ะเรื่องไร)
เจ๊แหม่มบอกว่า เมื่อคืนโดนผีอำ คือนอนๆอยู่เหมือนมีผีผู้ชายมาอำ

ฉันฟังแล้วต๊กกะใจ ก็ฉันนอนกะพี่แหม่ม แต่เราไม่รู้เรื่องไรเลยอ่ะ อีกอย่าง ตอนเจ๊แหม่มไปดูบอล ฉันก็หลับอยู่ในห้องคนเดียวตั้ง 2 ชมแนะเสร็จจากกินข้าว บริเวณร้านอาหารมีเครื่องเล่นเด็ก ประมาณชิงช้า, ม้าหมุน, ไม้กระดาน พวกเราเนี่ยทำยังกะเด็ก เห็นปุ๊บ ก็ลงไปเล่น เล่นกันทุกคน เจ้าเอ๋คงจะสนุกกับชิงช้า เล่นไปเล่นมา โยกสูงขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายไม่สามารถหยุดได้ ต้องให้เค็งช่วยหยุด ปรากฏว่า ลงแบบสวยมากคือไปกองกับพื้น คุณต๋อยคงเห็นท่าไม่ดี บอกให้ขึ้นรถดีกว่า ก่อนที่จะเป็นไรมากกว่านี้ ก่อนนั่งรถยาว แต่ละคนขอแวะปัมท์ ล้างหน้าล้างตา เปลี่ยนเสื้อ

ลาละนะ มีโอกาสฉันจะมาเที่ยวใหม่ คราวหน้าอยากมาเองมากกว่า จะได้ใช้เวลาแต่ละสถานที่ได้นานกว่านี้

0 Comments: