Saturday, February 25, 2006

Europe in Memories #3

พวกเรามาถึง Paris โดยรถไฟ TGV ที่แล่นด้วยความเร็วเหมือนเดิม มาถึง Paris คราวนี้เจ้าหน้าที่ Alcatel ที่มาต้อนรับเราเป็นสาวสวย แต่กว่าที่พวกเราจะออกจากสถานีก็เสียเวลาไปพักหนึ่ง ก็พี่อั้นนะซี เตรียมตัวจะไปสเปนคนเดียวในคืนนี้ ก็เลยจัดแจงหาตั๋วรถไฟอยู่

ออกจากสถานีรถไฟตรงดิ่งไปที่โรงแรมเดิมที่เคยพักในวันแรกที่มา Paris คราวนี้เราได้พักห้องที่ใหญ่กว่าเดิม สำหรับพรุ่งนี้พวกเรามี program กันเรียบร้อยแล้ว ทาง Alcatel ใจดีมากเลย พวกเราบอกว่าอยากไปเที่ยว Euro Disneyland ทาง Alcatel ก็ให้ เงินเป็นค่าตั๋ว และค่าอาหารนิดหน่อย เป็นอันว่าวันเสาร์ที่ 24 พวกเราก็ได้แปลงร่างสวมวิญญาณเด็กไปเที่ยว Euro Disneyland กัน งานนี้ขาดแต่พี่อั้นคนเดียว


Euro Disneyland

อันที่จริง Disneyland ฉันก็เคยไปมาแล้วตอนไปญี่ปุ่น แต่ยังนึกถึงความมันส์ไม่หาย ก็เลยอยากไปอีก อยากเปรียบเทียบดูด้วยว่า Disneyland แต่ละที่จะเหมือนกันหรือเปล่า ผลสรุปก็คือ คล้ายๆกัน คือ คนเยอะเหมือนเดิม เวลาจะเล่นเครื่องเล่นที่ฮิตฮอต ก็ต้องต่อคิวกันเป็นชั่วโมง และก็ได้เล่นประมาณ 10 นาทีเท่านั้นเอง

ที่นี่จะมีการแบ่งเป็นหลายๆ land เช่น Adventure Land, Frontier Land, Fantasy Land, Tomorrow Land เครื่องเล่นหลายอย่างเคยเล่นมาแล้ว เช่น Splash mountain สนุกมากเลย ตอนนั่งไปที่สูงๆแล้วเครื่องตกลงมาข้างล่าง ได้เข้าบ้านผีสิง เขาทำดีมากเลย, small world เป็นเรือเด็กๆให้นั่งเล่นไปภายในโลกใหม่ที่สมมติว่าเป็นโลกแห่งความสุข ภายในมีตุ๊กตาของหลายๆประเทศเต้นระบำไปมา ฉันมองหาและก็เห็นตุ๊กตาประเทศไทยด้วย, ไปดูหนัง 360 องศา, ดู Michael Jackson แบบ 3 มิติ, เครื่องเล่นแบบ Simulator, นั่งเรือโจรสลัด etc.



มีเครื่องเล่นแบบหนึ่งที่ตอนแรกไม่คิดว่าจะเล่น แต่ก็ลองดูน่า เป็นถ้วยให้คนเข้าไปนั่งประมาณ 3-4 คนต่อถ้วย ถ้วยนี้จะหมุนใน 3 ระนาบ ดูดูแล้วก็คล้ายกับบ้านเรา ไม่ค่อยน่าสนใจ แต่ก็ลองเล่นดู

พวกเรา 10 คน นั่งกัน 2 ถ้วย มีพี่เอจกับอ๋อที่เป็นคนหมุนถ้วยให้สูงขึ้น ยิ่งหมุนมาก ถ้วยจะเหวี่ยงขึ้นสูงมาก 2 คนนี้คงประชันอะไรสักอย่าง แต่กรรมตกอยู่ที่คนนั่งที่เหลือ ฉันกับนงสนุกมาก นั่งหัวเราะเคล้าน้ำตาตลอด ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าขำอะไรนักหนา แต่ขำจริงๆ แถมน้ำตาไหลพราก พอเล่นเสร็จ เดินลงมารู้สึกว่าโลกนี้หมุนเร็วจัง เพื่อนคนอื่นเห็นฉันน้ำตานองหน้า เขาคิดว่าฉันคงกลัวมาก ฉันบอกว่า ฉันสนุกมากต่างหากล่ะ


Disney Land Shop

เครื่องเล่นที่สนุกสุดยอดเห็นจะเป็น Indiana Jone ยิ่งถ้าใครนั่งอยู่ที่หัวแถวจะสนุกมากจริงๆ กลางคืน จะมี Electric parade เป็นพาเหรดจากนักแสดงตัวการ์ตูนทั้งหลายของ Walt Disney ประดับประดาด้วยไฟจำนวนมาก คืนนั้นกว่าจะออกจาก Disney land ก็ดึกเหมือนกัน พวกเรากลัวอยู่อย่างเดียวคือ กลัวรถไฟจะหมด เลยต้องจำใจกลับ ทั้งๆที่มีเครื่องเล่นอีกหลายอย่างที่ยังไม่ได้เล่น


เช้าวันอาทิตย์ที่ 25 พวกเราไปโบสถ์เก่าแก่แห่งหนึ่งของ Paris ชื่อ Notre-Dame เป็นโบสถ์ที่มีความสูง 141 เมตร สร้างในปี ค.ศ. 1420 – 1439 ช่วงที่เราไปภายนอกโบสถ์กำลังมีการซ่อมแซมกันอยู่ ก็เลยถ่ายรูปมาไม่ค่อยสวยนัก

โบสถ์นี้ใหญ่มาก ภายในโบสถ์ก็ดูมืดๆทึมๆ จุดเด่นของโบสถ์นี้คงเป็นกระจกสีที่สวยงาม พวกเราอยู่ในโบสถ์กันไม่นานนักก็ออกมาเที่ยวข้างนอกต่อ นอกโบสถ์ จะมีการแสดงเลี้ยงชีพของคนบางกลุ่ม ฉันไปนั่งดูอยู่นานเหมือนกัน คือเขาจะมีการแสดงต่างๆนานา ส่วนใหญ่จะเป็น one man show เป็นลักษณะคนดูล้อมวงเข้าไป แล้วเขาจะแสดงความสามารถของเขา เมื่อการแสดงจบ ก็มีการเรี่ยไรเงิน การแสดงแบบนี้มีค่อนข้างเยอะเหมือนกัน


Notre-Dame

กระจกสี

พี่พี่บางกลุ่มก็ไปล่องเรือเล่นในแม่น้ำแซนน์ แต่ฉันไม่ได้ไป เสียดายเหมือนกัน ทำไมไม่ไปนะ เที่ยววันนั้น พี่ป๋วยและพวกเราได้รับบทเรียนจาก Notre-Dame เรื่องการใช้ชีวิตใน Paris เพราะว่าพี่ป๋วยถูกมือดีล้วงกระเป๋าไป พวกเรากลัวกันมาก เพราะเพิ่งเข้า Paris ได้ 2 วันเท่านั้น ก็เกิดเรื่องแล้ว

เย็นนั้นพวกเราได้ไปทานอาหารไทยจากการแนะนำของอีกกลุ่มหนึ่ง บ๋อยที่ร้านอาหารนี้พูดภาษาไทยได้นิดหน่อย รับ order ภาษาไทยได้ พวกเราก็เลยสั่งอาหารไทยกันแบบสบายใจ แถมตอนกลับก็เดินจ่ายตลาดด้วย แถวนั้นมีของขายเป็นของไทยๆหลายอย่าง ก็เลยซื้อกลับไปทำกินที่โรงแรม

เช้าวันจันทร์ วันแรกของการไปอบรมที่ Alcatel Telspace พวกเราไปโดยขึ้นรถไฟไป ไม่มีการขับรถเหมือนที่ Lannion ตั๋วรถไฟเราจะได้เป็นสัปดาห์ ในหนึ่งสัปดาห์สามารถใช้ตั๋วนี้ไปไหนก็ได้ ส่วน phone card ยังคงได้ 2 ใบต่อสัปดาห์เหมือนเดิม

อาหารกลางวันเราจะกินที่นี่ทุกวัน เพราะไม่สามารถกลับไปทำกินที่โรงแรมได้ และอีกอย่างที่นี่เขาจะไม่ได้ให้เงินเหมือนที่ Lannion แต่จะให้เป็น card แทน พวกเรากินกันอย่างเยอะมาก แถมยังมีการติดไม้ติดมือกลับมาทุกวัน ฉันก็เอากลับมา ส่วนใหญ่จะเป็น โค้ก, ผลไม้จำพวกแอปเปิ้ล และก็ ซอสมะเขือเทศเป็นซองๆ ทำไมต้องเอาซอสมะเขือเทศกลับมานะหรือ ก็เพราะว่าที่ประเทศแถบนั้น เวลาเราไปกินพวก แม็คต่างๆ เขาไม่มีซอสให้ คือมี แต่ว่าเราต้องซื้อ ไม่ได้แจกฟรีเหมือนบ้านเรา ดังนั้นจากประสบการณ์บวกกับความงก ก็เลยต้องเอาซอสกลับมาบ่อยๆ ส่วนผลไม้นั้นก็เอาไว้กินเวลาเดินเที่ยว ประทังความหิวไปก่อน (save จริงๆกลุ่มนี้)

ในระหว่างสัปดาห์หลังเลิกเรียน พวกเราก็จะไปเดินเที่ยวตามห้างต่างๆ ห้างที่ไปมากที่สุดเห็นจะเป็น Printemps ห้างนี้มีสาขาเยอะมาก เคยมาเปิดสาขาที่ประเทศไทยด้วย พี่เอจมีบัตรลดของห้างนี้ด้วย เขาเคยทำตอนอยู่ที่เมืองไทย ปรากฎว่าเอาไปลดได้ถึง 10% ทั้งๆที่ตอนเขาทำบัตรนี้เสียเงินเพียง 100 บาทเอง นอกจากเดินเที่ยวห้างนี้แล้ว กิจกรรมหนึ่งที่ทำมากคือลองกลิ่นน้ำหอม และสืบราคาน้ำหอมจากร้อนต่างๆ รู้สึกว่าเจ้าอ๋อจะเชี่ยวชาญที่สุด (และเจ้าอ๋อนี่แหละเป็นคนที่ซื้อน้ำหอมมากที่สุด หมดเป็นหมื่น) ส่วนใหญ่ฉันก็จะเดินเที่ยว ยังไม่ได้ซื้อของอะไรมากนัก สืบราคาไปก่อน โชคดีที่ไม่ค่อยมีคนฝากซื้อของ มีแต่ของที่ต้องซื้อไปฝากญาติๆ เพื่อนๆ พี่ๆ เท่านั้นเอง และมีที่เขาฝากมาเพียง 1-2 ชิ้นเท่านั้น

สุดสัปดาห์ กลุ่มพี่เอจเขาวางแผนการณ์จะไปเที่ยวอิตาลีกัน ไปกัน 5 คน ฉันไม่ได้ทำ VISA มา ก็เลยไม่ได้ไป แต่มีโครงการณ์ที่จะไป Chamonix Mont Blanc ตอนแรกจะไปกับนง 2 คน คนอื่นที่เหลือไม่ยอมไปกัน แต่สุดท้ายพี่รังสียอมไป สงสัยเป็นห่วงเรา 2 คน ตกลงเราไปกัน 3 คน


ตัวเมือง Chamonix Mont Blanc

ออกจาก Paris คืนวันศุกร์ที่ 30 นั่งรถไฟไป 1 คืน ใช้บัตร Eurial Pass เมืองนี้อยู่ชายแดนของฝรั่งเศสติดกับสวิสเซอร์แลนด์ ไปถึงเช้า อากาศค่อนข้างหนาว ดูอุณหภูมิประมาณ 0 องศา เห็นหิมะอยู่ไกลๆ เมืองนี้เป็นเมืองท่องเที่ยวจริงๆ หลายๆอย่างอำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยว มีของที่ระลึกขายเยอะไปหมด ตอนแรกเรากะว่าจะค้าง 1 คืน แต่ดูไปดูมา ไม่มีที่เที่ยวที่อื่นอีก ก็เลยไม่ค้าง

สอบถามเจ้าหน้าที่เขาบอกว่า กระเช้าที่จะไปเทือกเขานี้ ไปได้สูงสุดที่ยอดเขา Alguille Du midi มีความสูง 3842 เมตร พวกเราก็ตกลงจะขึ้นไป ขึ้นไปถึงยอดเขานี้ หนาวมาก เป็นครั้งแรกที่ฉันได้สัมผัสหิมะ มองไปทางไหนขาวโพลนไปหมด ตอนแรกยังไม่รู้สึกอะไร หนาวอย่างเดียว ต่อจากที่นี่มีทางเดินขึ้นไปชมวิว สูงขึ้นไปอีก ฉันก็ขึ้นไป แต่ให้ตายเถอะ ทำไมรู้สึกว่าเหมือนจะหมดแรง หายใจไม่ออก ไม่เคยรู้สึกเหนื่อยเท่านี้มาก่อน เพราะว่า ยิ่งสูงขึ้นไป อากาศจะเบาบางลง เราต้องการออกซิเจนมาก แต่ในขณะเดียวกันออกซิเจนกลับมีน้อย เลยทำให้รู้สึกเหมือนกับจะหมดสติไป วันนั้น ดีใจจังที่กลับลงมาได้อย่างปลอดภัย ไม่เป็นลมไปซะก่อน


ยอดเขา Alguille Du midi


สัมผัสหิมะครั้งแรก

ตกลงคืนนั้น เราก็ขึ้นรถไฟกลับปารีส คืนนั้นในรถไฟ เป็นคืนที่ทรมานมากอีกคืนหนึ่ง รู้สึกว่าบนรถไฟจะไม่ได้เปิด heater อากาศหนาวมาก ฉันนอนไม่หลับเลย กลับมาถึงปารีสเช้าวันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม รู้สึกเพลียมาก มีโปรแกรมจะไปเที่ยวพระราชวัง Versailles กันต่อ แต่คราวนี้ไปกันหมด 7 คน (กลุ่มพี่เอจยังไม่กลับจากอิตาลี)

สวนดอกไม้ใน Versailles

Versailles เป็นพระราชวังที่ใหญ่โตมโหฬารจริงๆ นอกจากนี้ ยังมีสวนดอกไม้ที่สวยมาก และกว้างขวางมาก ฉันเดินเที่ยวภายในพระราชวัง มีรูปวาดเยอะมาก ดูไม่หมดหรอก ภายในวันเดียว มีห้องที่สวยมากเป็นห้องกระจก มีโคมไฟตลอดทางเดินของห้องนั้น ตามผนังจะมีภาพวาด ฉันสังเกตอย่างหนึ่งและคิดว่า คนสมัยก่อนนี่ต้องชอบหญิงสาวรูปร่างอวบๆแน่เลย เห็นแต่ละรูปที่วาด ถ้ามีสาวอยู่ในรูปจะอวบๆทั้งนั้น

ห้องกระจกที่มีชื่อเสียง

ที่ Versailles นี่เวลาเราจะเที่ยวแต่ละที่ เขาจะเก็บค่าผ่านประตูหมด ไม่ใช่ว่าเก็บครั้งแรกแล้วเที่ยวได้หมด วันนั้นฉันไม่ได้เที่ยวสวนดอกไม้ เพราะรู้สึกว่าตัวเองจะเดินไม่ไหวแล้ว เห็นแต่เจ้าปั๋งคนเดียวที่ได้ไปสวน ที่นี่ไม่ค่อยได้รูปสวยเท่าไร เพราะตากล้องมือหนึ่ง(พี่เอจ) ไม่ได้ไป ก่อนกลับ พอดีเห็นเขาขายโปสการ์ดเป็นแบบรวมปารีส ก็เลยคิดว่า ซื้อเก็บไว้ก็ดีนะ ก็เลยซื้อมา 1 ชุด มีประมาณ 10 กว่าแผ่น

0 Comments: