Saturday, February 25, 2006

Europe in Memories #4

ในสัปดาห์นั้นเราก็ไปเที่ยวห้างตามเรื่องตามราว มีเย็นวันหนึ่ง เราไปโบสถ์แห่งหนึ่ง ที่ค่อนข้างมีชื่อเสียงชื่อ Scare-Cceur บริเวณรอบๆโบสถ์นี้จะมีของที่ระลึกขายที่เด่นชัดที่สุดจะเป็น หินสีต่างๆเอามาทำเป็นสัญลักษณ์ของปารีส เชน หอไอเฟล, ประตูชัย, Notre Dame, Scare-Cceur ไว้ขายเป็นของที่ระลึก นอกจากนี้บริเวณแห่งนี้จะมีจิตรกรมาวาดรูปให้กับนักท่องเที่ยวไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย แต่เห็นฝีมือแล้ว ไม่อยากให้วาดเลย

ฉันซื้อหนังสือมา 1 เล่ม ชื่อ “ A complete Guide for Visiting PARIS” ไม่รู้ว่าสายเกินไปหรือเปล่า จริงๆแล้วต้องศึกษาหาข้อมูลก่อนที่จะมาเที่ยว แต่ไม่เป็นไร ถือว่าเป็นของที่ระลึกจากปารีสก็แล้วกัน


Scare-Cceur

สุดสัปดาห์ ได้เวลาไปต่างประเทศกันอีกแล้ว คราวนี้เราจะไปสวิสเซอร์แลนด์กัน ประเทศที่หลายๆคนบอกว่าสวยที่สุด, โรแมนติคที่สุด เราไปกัน 9 คน ขาด อ๋อ, นอต, พี่เล็ก(ชาย) คราวนี้เราไปกัน 3 วัน 4 คืน นอนบนรถไฟ 2 คืน อีก 2 คืนไปพักที่ Youth Hotel

Titlis

วันแรกเราไปเที่ยวที่เทือกเขา Titlis ขึ้นกระเช้าไป แต่คราวนี้ไม่โหดเหมือนตอนไป Chamonix อาจเป็นเพราะว่าความสูงน้อยกว่า แต่ความหนาวไม่น้อยไปกว่ากันเลย แถมมีลมพัดอีก ที่นี่ฉันได้สัมผัสหิมะเป็นรอบสองได้ลงไปนอนเล่นบนหิมะ หนาวเหน็บมาก หูชาไปหมด เก็บรูปได้เยอะเลย (คราวนี้เรามีตากล้องไปด้วย)


คืนนั้นฉันได้พักที่ Youth Hotel เป็นครั้งแรก เราแยกห้องชายหญิงกัน ห้องที่ฉันพักนอกจากจะมีพวกเราแล้วยังมีสาวจากชาติอื่นๆอีก เราต้องปูที่นอนเอง ทางโรงแรมจะมี bed sheet (ผ้าปูที่นอน) ให้ ตอนเช้าเราต้องถอดเอา bed sheet ลงมาก่อน check-out ด้วย อ้อ. ฉันได้ซื้อมีด Victorinox รุ่น standard มา 1 อัน กะว่าจะไว้ใช้เอง เห็นว่าราคาไม่แพง 17 ฟรังก์สวิส ประมาณ 340 บาท แถมยังมีสลักสัญลักษณ์ Youth Hotel ไว้ด้วย

เมือง Zermatt

โปรแกรมการเดินทางในวันต่อไป ฉันจำไม่ค่อยได้ เพราะอะไรเหรอ ก็เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วพี่อั้นจะเป็นคนจัดโปรแกรมทัวร์ จำได้ว่าเตรียมตัวจะไปเทือกเขาอีกแห่งที่อีกเมืองหนึ่ง เราเสียเวลาส่วนใหญ่กับการเดินทางมาก การท่องเที่ยวในสวิสนี้ ต้องมีการเตรียมตัวมาดี (รวมทั้งการเตรียมเงินมาอย่างเพียงพอด้วย) ต้องมีการหาข้อมูลมาอย่างดี เช่น การใช้ Eurial Pass ในสวิสนี้ แทบจะใช้ไม่ได้เลย รถไฟหลายแห่งจะเป็นของเอกชน เขาจะไม่รับ Eurial Pass แต่เขาจะรับ Swiss Pass ซึ่งเราไม่รู้มาก่อน ก็เลยต้องเสียค่าปรับไปหลายฟรังก์สวิสเหมือนกัน

ค่าครองชีพที่นี่สูงมาก เราไปกันไม่กี่วัน เจ้าปั๋งหมดเงินไปเป็นหมื่น เพราะไม่ได้ทำ Eurial Pass มา นี่แค่เฉพาะค่าตั๋วรถไฟ, ค่าที่พัก, ค่าอาหาร เท่านั้นเอง สาเหตุนี้เองที่ทำให้เราต้องงด, เปลี่ยนโปรแกรมทัวร์หลายๆอย่าง เพราะสู้ราคาไม่ไหว

สำหรับทัวร์วันนี้ เราไปเมืองหนึ่งแล้วก็เปลี่ยนโปรแกรมทัวร์ไปอีกเมืองหนึ่ง (เสียดาย ไม่ได้จดรายละเอียดไว้) วันนั้นเราเดินทางไปมาเก็บรูปไปมารู้สึกจะสิ้นสุดที่เมือง Zermatt มีเทือกเขาชื่อ Matterhorn เป็นเทือกเขาที่สูงมาก นับได้ว่าเป็นสัญลักษณ์ที่เห็นก็สามารถจำได้

พวกเราก็เที่ยวดูของที่ขายกัน บางคนก็ดูนาฬิกา, มีด Victorinox ฉันก็ดูมีดนี้เพราะว่าพี่สุนทรฝากซื้อมา ดูไปดูมาก็เลยซื้อไปเลยเพราะว่าเขามีบริการสลักชื่อให้ฟรีด้วย ที่นี่เขาดีอย่างคือ เขาจะสลักชื่อให้ในด้ามมีด ไม่ว่าเราจะซื้อจากร้านเขาหรือไม่ ถ้าเป็นมีด Victorinox ของแท้เขาจะมีบริการฟรีให้ ฉันก็เลยเอามีดที่ซื้อไว้มาสลักชื่อซะเลย

เที่ยวที่สวิสหลายวัน อาหารที่กินส่วนใหญ่ พวกเราก็จะเข้าร้านที่มีตัว “M” ก็ แมคโดนัลล์ไง คิดเสียว่าเป็นอาหารที่กินง่ายที่สุด มีมากที่สุด และที่สำคัญ ประหยัดที่สุดด้วย คืนนั้น พวกเราก็ไปพักที่ Youth Hotel เหมือนเดิม แต่คราวนี้ เขามีห้องให้พวกเราพักได้ทั้งหมด พวกเราเลยพักรวมกันหมด ได้ข่าวดีอย่างหนึ่ง คือทางโรงแรมบอกว่า มีอาหารเย็นให้ด้วย พวกเราดีใจกันใหญ่ เพราะไม่ต้องไปกินเจ้าตัว “M”

คืนนั้น พวกเราได้กิน มักกะโรนีราดด้วยน้ำซุปต้มด้วยหมูหรือเนื้อ (ไม่แน่ใจ) พวกเราหิวกันมาก แต่ละคนตักกันเยอะมาก กินอย่างรวดเร็ว (เหมือนกลัวใครแย่ง) เจ้ามักกะโรนีนี่แปลกอยู่อย่าง คือถ้าเรากินเร็วเกินไป เราจะรู้สึกอิ่มเร็ว (แบบอืดๆ) พวกเราทุกคน ตอนแรกก็ speed ดีหรอก พอกินไปได้สักพัก speed เริ่มตกลง เจ้าปั๋ง แซวพี่เอจว่า “ ไง พี่เอจ ไม่ไหวแล้วเหรอ” พี่เอจ แกคงกลัวเสียฟอร์ม บอกว่า “ยังหรอก ถ้ามีโค้กให้กิน ก็กินได้อีก” ว่าแล้วเขาก็ลุกขึ้นไปหยิบโค้กที่ห้องนอน ระหว่างนั้น เจ้าปั๋งก็เลยแก้เผ็ด โดยการเติมมักกะโรนีและน้ำซุปลงไปในจานของพี่เอจอีก แต่เพื่อความสมจริง จะไม่ใส่มากเกินไป พวกเราหัวเราะกันใหญ่ ตัวฉันเองก็ขำมาก แต่ต้องพยายามสงบสติอารมณ์ พอพี่เอจมา ก็ไม่ได้เอ๊ะใจ สุดท้ายเขาก็กินมักกะโรนีจนหมดหลังจากที่กินโค้กไปแล้ว เยี่ยมจริงๆ ตัวฉันเองต้องพยายามเก็กหน้าสุดๆ ก็กลัวหัวเราะออกมานะซิ


เทือกเขา Matterhorn

เช้าวันรุ่งขึ้น พวกเราตื่นขึ้นมา มองไปที่หน้าต่าง วิวสวยมาก เพราะว่าเมื่อมองออกไปจากที่นี่ จะเห็นเทือกเขา Matterhorn ที่สวยมาก อากาศหนาว พวกเราออกไปเดินเที่ยวรอบๆบริเวณที่พัก เก็บรูปกันไป สายๆก็เริ่มออกเดินทางกันต่อ คราวนี้เราไปเมืองโลซานน์ ไปดูน้ำพุเจนีวา เป็นน้ำพุที่สูงที่สุดในโลก เดินเลียบทะเลสาบเจนีวา แต่ไม่ยักกะเห็นนาฬิกาดอกไม้ (สงสัย เพลิดเพลินกับ action ถ่ายรูป) ออกจากเจนีวา ก็เกือบเย็น ต้องรีบไปขึ้นรถไฟกลับปารีสซะแล้ว ลาก่อน สวิสเซอร์แลนด์ ดินแดนอันแสนสวย

เมืองโลซานน์

น้ำพุเจนีวา

กลับสู่ปารีส เช้าวันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม วันนี้เราต้องไปอีกเมืองหนึ่ง ไปดูโรงงานอีกแห่งหนึ่งของ Alcatel ที่เมือง Cherbourg คือไปวันนั้นเลย (พวกเรานี่ ชีพจรลงเท้าจริงๆ) กลับเข้าที่พัก ก็แค่ไปเอาเสื้อผ้า แล้วก็นั่งรถไฟไปกัน

เมือง Cherbourg นี้ก็เป็นเมืองชายทะเล พวกเราค้างกันที่นี่ 1 คืน คืนนั้น พวกเราได้กินอาหารเย็นเป็นอาหารทะเล (มื้อเยี่ยม) ค่ำหน่อยก็พากันออกไปเดินดูรอบเมือง มีร้านขายของเยอะไปหมด ฉันเริ่มดูแผนที่คล่องแคล่ว อยากไปที่ไหน ถึงแม้ไม่รู้จัก ก็ใช้แผนที่นี่แหละ



วันอังคาร พวกเรากลับปารีสอีกครั้ง เวลาของพวกเราใกล้หมดแล้วล่ะ วันศุกร์จะเป็นวันสุดท้าย พวกเราก็มาคิดกันว่ายังมีที่ไหนที่ยังไม่ได้ไปมั่ง มองไปมองมา ก็พบว่า เรายังไม่ได้ไปปีนหอไอเฟลกันเลย พลาดได้ยังไงเนี่ย ก็เลยตกลงกันว่า เย็นวันหนึ่งเราจะไปปีนหอไอเฟลกัน แต่พวกเราไม่รู้กันมาก่อนว่า หอไอเฟลจะปิดตอน 6 โมงเย็น พวกเราไปกันถึงเวลา 18.05 น. คือช้าไปประมาณ 5 นาที เท่านั้นเอง แต่เจ้าหน้าที่ไม่ยอมให้ขึ้นไป สรุปแล้วก็คืออดขึ้น ได้แต่ถ่ายรูปรอบๆฐานหอไอเฟลเท่านั้น

0 Comments: